บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ สีดำ Black Storm Metallic และสีแดง Passion Racing Red
ราคาจำหน่าย: ราคาโดยประมาณ 950,000 – 1,150,000 บาท (รอประกาศราคาอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้)
บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด เตรียมเปิดตัวมอเตอร์ไซค์ซูเปอร์สปอร์ตรุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี พ.ศ. 2552 บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ มาพร้อมคุณสมบัติเหนือชั้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ที่ทรงพลังยิ่งขึ้น แชสซีและระบบช่วงล่างที่เหนือชั้นกว่าที่เคย ระบบ Brake Slide Assist ใหม่ ระบบควบคุม Dynamic Traction Control ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นควบคุมการลื่นไถล (Slide Control) การออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ที่ได้รับการปรับให้เหมาะสมยิ่งขึ้นด้วยวิงเล็ท ส่วนท้ายที่โฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้นกว่าเดิม และอีกหลากหลายระบบช่วยเหลือล้ำสมัย คุณสมบัติดังกล่าวช่วยสร้างไดนามิกการขับขี่ที่เหนือชั้น พร้อมมอบสมรรถนะขั้นสูงสุดและประสบการณ์การขับขี่ที่ไม่เหมือนใครให้แก่
เหล่านักบิด
บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ มาพร้อมเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง ระบายความร้อนด้วยน้ำและน้ำมัน 4 วาล์วไทเทเนียมต่อลูกสูบ DOHC และ BMW ShiftCam ความจุ 999 ซีซี ส่งพละกำลัง 154 กิโลวัตต์ (210 แรงม้า) ที่ 13,750 รอบต่อนาที ให้ความเร็วสูงสุดที่ 303 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แรงบิดสูงสุด 113 นิวตันเมตร ที่ 11,000 รอบต่อนาที ช่วยเสริมประสิทธิภาพในการขับขี่และการเร่งขณะขับขี่ที่ความเร็วต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น มอเตอร์ไซค์รุ่นนี้มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 6.4 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร และรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงไร้สารตะกั่วค่าออกเทน 95-98
หนึ่งในไฮไลท์ของบีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ คือโครงสร้างตัวถังแบบ Flex Frame แชสซีที่ได้รับการพัฒนาใหม่ และการตั้งค่าระบบช่วงล่างใหม่ โดยมาพร้อมโครงสร้างเฟรมอลูมิเนียมจากการเชื่อมชิ้นส่วนอลูมิเนียม 4 ชิ้นที่ผ่านกระบวนการหล่อขึ้นรูปด้วยแรงโน้มถ่วง (Gravity Die Casting) และผสานโครงสร้างเครื่องยนต์เข้าไว้ด้วยกัน โดยมีช่องเปิดบริเวณด้านข้างของเฟรมหลักเพื่อเสริมความคล่องตัวด้านข้าง และสำหรับแชสซีใหม่ยังได้รับการพัฒนาในด้านความแม่นยำในการขับขี่ การควบคุมที่เฉียบคม และการตอบสนองจากล้อหน้าที่ฉับไวยิ่งขึ้น
บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ ยังสามารถรองรับสไตล์การขับขี่ที่หลากหลาย ทั้ง 4 รูปแบบการขับขี่พื้นฐาน ได้แก่ “Rain”, “Road”, “Dynamic” และ “Race” อีกทั้งยังมาพร้อมโหมดการขับขี่แบบโปร ให้ผู้ขับขี่สามารถปรับเปลี่ยนการควบคุมต่าง ๆ ให้ตรงกับรูปแบบการขับขี่เฉพาะตัว ทำงานร่วมกับระบบ Dynamic Traction Control ที่มาพร้อมฟังก์ชั่น Slide Control ใหม่ ที่สามารถให้ผู้ขับขี่เลือกการตั้งค่าการดริฟท์ได้สองระดับขณะเร่งออกจากโค้ง ทำงานโดยใช้การตรวจจับจากเซนเซอร์ควบคุมองศาการเลี้ยว ซึ่งเมื่อตรวจจับการเอียงรถได้ ระบบ Dynamic Traction Control จะปล่อยให้ล้อหลังลื่นไถลเพื่อให้เกิดการดริฟท์ขณะออกจากโค้ง และเมื่อถึงระดับที่ได้ตั้งค่าไว้ ระบบจะทำงานเพื่อลด
การลื่นไถลของล้อและสร้างเสถียรภาพให้แก่ตัวรถ
นอกจากนี้ ยังมาพร้อมระบบ ABS Pro ที่มาพร้อมฟังก์ชั่นใหม่ Brake Slide Assist ซึ่งมีความสำคัญและสามารถช่วยเหลือผู้ขับขี่ขณะอยู่ในสนามแข่งได้เป็นอย่างมาก ทำงานด้วยเซนเซอร์ควบคุมองศาการเลี้ยวคล้ายกับฟังก์ชั่น Slide Control ในระบบ Dynamic Traction Control ให้ผู้ขับขี่สามารถตั้งค่าระดับการดริฟท์ สำหรับการดริฟท์โดยใช้เบรก (Braking drift) ขณะเข้าโค้งด้วยความเร็วอย่างคงที่ และยังมาพร้อมระบบ Hill Start Control ช่วยออกตัวในทางลาดชัน ในขณะที่ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติยังช่วยให้ผู้ขับขี่รักษาความเร็วรถให้คงที่ได้ นอกจากนั้น ระบบช่วยเปลี่ยนเกียร์ Gear Shift Assistant Pro ยังช่วยให้สามารถเปลี่ยนเกียร์ขึ้นและลงได้เกือบทุกช่วงน้ำหนักบรรทุกและช่วงความเร็วรอบเครื่องยนต์โดยไม่ต้องควบคุมคลัตช์ ระบบทำความร้อนที่แฮนด์ยังช่วยป้องกันมือชาและความเมื่อยล้าเมื่อขับขี่ไปในในสภาพอากาศที่หนาวเย็น
บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ ยังมีเอกลักษณ์ใหม่ที่สืบทอดจากรุ่น M RR โดยมาพร้อมวิงเล็ท เพื่อช่วยเสริมแรงกดบนล้อหน้า โดยเฉพาะขณะเร่งความเร็ว ซึ่งวิงเล็ทนี้จะช่วยเสริมแรงกดอากาศและน้ำหนักบนล้อหน้า และยังมาพร้อมโครงสร้างแชสซีแบบ M Chassis Kit ที่มีการยกด้านท้ายรถสูงขึ้น และสวิงอาร์มที่สามารถปรับหมุนได้ พร้อมด้วยแบตเตอรี่ M น้ำหนักเบามาเป็นอุปการณ์มาตรฐาน
ด้านดีไซน์ บีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ใหม่ ยังมาพร้อมรูปโฉมด้านหน้าใหม่ โดดเด่นด้วยวิงเล็ท และด้านท้ายแบบใหม่ที่สปอร์ตและน้ำหนักเบายิ่งขึ้น ระบบไฟ LED เต็มรูปแบบมาตรฐานบริเวณไฟหน้า ไฟท้าย และไฟเลี้ยว ตอกย้ำถึงความโฉบเฉี่ยวและความดุดันของบีเอ็มดับเบิลยู S 1000 RR ดีไซน์ตัวถังใหม่พร้อมเบาะนั่งซ้อนท้ายทรงสง่าสร้างความโดดเด่นสะดุดตาจากรุ่นก่อนหน้าอย่างชัดเจน โดยมาในสีใหม่ล่าสุด ได้แก่ สีดำ Black Storm Metallic และสีแดง Passion Racing Red
บีเอ็มดับเบิลยู R 18 B สี Black Storm Metallic
ราคาจำหน่าย: 1,475,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู R 18 B สี Gravity Blue Metallic
ราคาจำหน่าย: 1,500,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู R 18 B สี Manhattan Metallic Matte
ราคาจำหน่าย: 1,500,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู R 18 B สี Option 719 Mineral White Metallic
ราคาจำหน่าย: 1,575,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู R 18 B สี Option 719 Galaxy Dust Metallic
ราคาจำหน่าย: 1,595,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental สี Black Storm Metallic
ราคาจำหน่าย: 1,615,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental สี Option 719 Mineral White Metallic
ราคาจำหน่าย: 1,715,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม)
มอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental โดดเด่นด้วยความเป็นมอเตอร์ไซค์ทัวริ่งที่หรูหรา ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู R 18 B มาพร้อมความเป็นมอเตอร์ไซค์สไตล์แบกเกอร์เต็มตัวด้วยรูปลักษณ์ที่ดูทั้งเรียบง่ายและปราดเปรียว พร้อมด้วยกระเป๋าสัมภาระข้างรถที่เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับฝาครอบไฟหน้ารถ และสำหรับรุ่น R 18 Transcontinental จะมีกล่องสัมภาระท้ายรถ (top case) อีกด้วย ส่วนประกอบเพื่อการใช้งานและดีไซน์ต่าง ๆ เช่น โครงสร้างเหล็กกล้าสองชั้น ถังน้ำมันทรงหยดน้ำขนาด 24 ลิตร เพลาแบบเปิดเปลือย พร้อมลูกเล่นการทำสีแบบลายเส้นคู่ ล้วนสะท้อนถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของมอเตอร์ไซค์แบบทัวริ่งและครูสเซอร์ยอดนิยม และด้วยระบบสวิงอาร์มคู่ขนาบข้างและคานรับน้ำหนักแบบยื่น โครงสร้างตัวรถอันแข็งแกร่งจากมอเตอร์ไซค์ระดับตำนานอย่างบีเอ็มดับเบิลยู R 5 จึงถูกถ่ายทอดสู่ยุคปัจจุบันได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งสองรุ่นยังมากับรูปลักษณ์แบบใหม่ด้วยตัวเลือกสีตัวถังใหม่อันหลากหลาย
หัวใจหลักของมอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B คือเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 2 สูบที่เรียกว่า “บิ๊กบ็อกเซอร์” ซึ่งนับเป็นเครื่องยนต์แบบ 2 สูบวางเรียงที่มีสมรรถนะสูงสุดในรถมอเตอร์ไซค์ที่ผลิตออกจำหน่ายในตลาดทั่วไป ด้วยความจุ 1,802 ซีซี ส่งพละกำลังสูงสุด 67 กิโลวัตต์ (91 แรงม้า) ที่ 4,750 รอบต่อนาที ส่งแรงบิด 158 นิวตันเมตร ที่ 3,000 รอบต่อนาที พร้อมพลังขับเคลื่อนและเสียงเครื่องยนต์กระหึ่มเร้าใจด้วยความเร็วสูงสุด มากกว่า 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้านแชสซีของบีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B เป็นโครงสร้างเหล็กกล้าสองชั้น พร้อมแกนหลักชิ้นส่วนขึ้นรูปจากแผ่นเหล็ก ทั้งยังโดดเด่นด้วยมาตรฐานการผลิตคุณภาพสูงและความประณีตในรายละเอียดต่าง ๆ เช่น การเชื่อมข้อต่อระหว่างโครงสร้างเหล็กและการขึ้นรูปชิ้นส่วนเหล็กหล่อต่าง ๆ นอกจากนี้ สวิงอาร์มหลังยังยึดต่อกับเพลาหลังด้วยข้อต่อสลักเกลียวแบบดั้งเดิม
ระบบช่วงล่างของบีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ใช้ช่วงล่างแบบเทเลสโคปิก และระบบสวิงอาร์มที่ติดตั้งโดยตรงบนคานรับน้ำหนักแบบยื่นที่สามารถปรับตั้งค่าความหนืดและการยุบตัวของสปริงได้ เพื่อให้ควบคุมล้อที่หล่อด้วยวัสดุอัลลอยน้ำหนักเบาชั้นเลิศได้อย่างแม่นยำ พร้อมมอบการขับขี่ที่นุ่มสบาย คานรับน้ำหนักด้านหลังสามารถปรับตั้งค่าความหนืดได้และมีระบบชดเชยโหลดอัตโนมัติเพื่อตอบสนองการขับขี่ที่เหนือระดับ และเช่นเดียวกับรถรุ่นตำนานอย่างบีเอ็มดับเบิลยู R 5 แกนโช้คหน้าแบบเทเลสโคปิกของ R 18 ทั้งสองรุ่นก็มาพร้อมกับปลอกหุ้มโช้ค นอกจากนี้ ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับระบบดิสก์เบรกคู่ที่ล้อหน้า และดิสก์เบรกเดี่ยวที่ล้อหลัง ทำงานร่วมกับคาลิเปอร์เบรกแบบตายตัว 4 ลูกสูบ และระบบเบรก ABS ของบีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด
มอเตอร์ไซค์บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental ติดตั้งเบาะที่นั่งที่นุ่มสบายพร้อมระบบอุ่นเบาะที่นั่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เพื่อความสบายในการขับขี่ทางไกลแม้มีคนนั่งซ้อนท้าย ส่วนเบาะที่นั่งในรุ่น R 18 B เป็นเบาะที่นั่งสำหรับสองคนที่มีขนาดเล็กลง บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental มาพร้อมบันไดข้างเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ส่วนรุ่น R 18 B มากับที่พักเท้าที่กว้างขึ้นและสะดวกสบายยิ่งขึ้นกว่า R 18 รุ่นก่อนหน้า
ส่วนขับขี่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษทั้งสองรุ่น มาพร้อมกับมาตรวัดแบบอนาล็อก หน้าปัดทรงกลม 4 ช่อง และจอสีแสดงผลแบบ TFT ขนาด 10.25 นิ้ว พิมพ์ตัวอักษร “BERLIN BUILT” เสริมความคลาสสิกให้บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B ใหม่ จอสีแสดงผลแบบ TFT ยังสามารถอ่านได้ง่าย และสามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่าน BMW Connected App เสริมความสะดวกในการใช้งานและแสดงข้อมูลการขับขี่อย่างเต็มที่
บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B เสริมความปลอดภัยด้วยฝาถังน้ำมันเชื้อเพลิงพร้อมระบบล๊อก ระบบควบคุมการทรงตัวแบบอัตโนมัติ (ASC) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแต่ละราย มอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับโหมดการขับขี่มาตรฐาน 3 โหมด ได้แก่ “Rain”, “Roll” และ “Rock” อุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ได้แก่ ระบบ
ไฟหน้าปรับตามทิศทางการขับขี่พร้อมไฟส่องสว่างเวลากลางวัน ระบบควบคุมการทรงตัวแบบอัตโนมัติ (ASC) เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ ส่วนระบบเกียร์ถอยหลังจะช่วยให้การกลับรถเป็นเรื่องง่าย ทั้งยังมีระบบช่วยออกตัวในทางลาดชัน (Hill Start Control) ที่จะช่วยให้การออกตัวขึ้นเขาเป็นไปได้อย่างง่ายดาย ไฟหน้า LED ไฟเลี้ยว LED ไฟท้าย LED และไฟเบรกทำให้รถทั้งสองรุ่นดูโดดเด่น ขณะที่ บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental ยังสง่างามด้วยไฟตัดหมอกแบบ LED มอเตอร์ไซค์ทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับระบบป้องกันการโจรกรรมและระบบสตาร์ทแบบไร้กุญแจติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน นอกจากนี้ ระบบควบคุมแรงดันลมยาง (Tyre pressure control) ช่วยให้แน่ใจว่าผู้ขับขี่จะรักษาระดับลมยางของมอเตอร์ไซค์ได้อย่างเหมาะสม ในขณะที่ระบบเกียร์ถอยหลัง (Reverse Gear) ช่วยให้มอเตอร์ไซค์ถอยหลังได้โดยไม่ต้องออกแรงผลัก
บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental และ R 18 B มาพร้อมกับประสบการณ์เครื่องเสียงคุณภาพ โดยพัฒนาร่วมกับผู้ผลิตเครื่องเสียงสัญชาติอังกฤษอย่าง Marshall และลำโพงแบบ two-way (แยกซับวูฟเฟอร์) ที่ติดตั้งบนหน้าปัดของฝาครอบไฟหน้ารถ พร้อมด้วยหน้ากากลำโพงสีดำที่แต่งด้วยตัวอักษร Marshall สีขาว เสริมลุคคลาสสิกให้กับมอเตอร์ไซค์ โดยบีเอ็มดับเบิลยู R 18 B มาพร้อมกับระบบเครื่องเสียง Marshall Gold Series Stage 1 ซึ่งประกอบด้วยลำโพง 2 ตัว และซับวูฟเฟอร์ 2 ตัว ในขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental ติดตั้งระบบเครื่องเสียง Marshall Gold Series Stage 2 มาพร้อมลำโพง 4 ตัว และซับวูฟเฟอร์ 2 ตัว ด้วยกำลัง 280 วัตต์
บีเอ็มดับเบิลยู R 18 Transcontinental มาพร้อมกับสีตัวถังใหม่ ด้วยสีดำ Black Storm Metallic และสีขาว Option 719 Mineral White Metallic ในขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู R 18 B โดดเด่นด้วยตัวถังสีดำ Black Storm Metallic สีเทาด้าน Manhattan Metallic Matte สีฟ้า Gravity Blue Metallic สีขาว Option 719 Mineral White Metallic และสีม่วง
เหลือบฟ้า Option 719 Galaxy Dust Metallic
อ่านข่าว BMW เพิ่มเติมได้ที่นี่