ขณะที่ทั้ง Honda, Suzuki, Ducati, และ Yamaha ยังคงสู้กันอย่างเข้มข้น ส่วน Aprilia และ KTM เองก็ตั้งไข่มาเรื่อยๆอย่างไม่ย้อท้อในศึกแข่งรถมอเตอร์ไซค์ชิงแชมป์โลก MotoGP ทว่าทาง Kawasaki ผู้ซึ่งเป็นเต็งหนึ่งในศึก WSBK มาตลอด 5 ปีที่ผ่านมานั้นกลับไม่มีทีท่าว่าจะสนใจสร้างตัวรถระดับโปรโตไทป์ออกมาแล้วทำส่งในรายการรุ่นใหญ่กว่าที่ว่าเลยสักนิด
แต่อันที่จริงในช่วงปี 2002-2009 นั้น ทางค่ายเขียวแห่งนี้ได้เคยทำทีมลงร่วมศึก MotoGP มาแล้วด้วยตัวแข่งที่มีชื่อว่า Kawasaki Ninja ZX-RR เป็นหัวหอก ซึ่งผลงานที่ดีที่สุดที่พวกเขาทำได้ก็มีแค่เพียงอันดับที่ 2 อยู่หลายครั้งเท่านั้น ไม่เคยชนะเลยแม้แต่หนเดียว ประกอบด้วยปัญหาทางการเงิน และข้อจำกัดทรัพยากรกับบุคลากรที่ต้องใช้เพื่อการพัฒนาตัวแข่ง ทำให้สุดท้ายทาง Kawasaki ต้องขอถอนตัวออกไปจากศึกแข่งรถมอเตอร์ไซค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ไป
และเมื่อสื่อต่างๆได้มีการถามกับทาง Kawasaki ว่าแล้วพวกเขาสนใจที่จะกลับมาลงแข่งใน MotoGP อีกครั้งหรือไม่ เหมือนอย่างเช่นที่ Suzuki ทำ ตัวแทนของค่ายเหล่านั้นต่างก็บอกเป็นคำตอบที่ใกล้ๆเคียงกันว่าปัญหาหลักของพวกเขาก็ยังเป็น “ค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้” เช่นเดิม เหมือนตอนที่ขอถอนตัว
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เราจึงขอยกเอาบทสัมภาษณ์ของ Yoshimoto Matsuda ผู้จัดการฝ่ายงาน WSBK ของ Kawasaki และผู้ดูแลโปรเจ็กต์ Kawasaki ZX-10R ที่เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้เมื่อต้นปีกับสื่อแห่งหนึ่งมาให้เพื่อนๆได้ทำความเข้าใจกันครับ
“MotoGP มันไม่ใช่ทางของเรา, คือคุณจำเป็นต้องคิดเสมอว่าคุณต้องทำยังไงถึงจะแข่งได้ใน MotoGP และคุณจะได้อะไรจากมัน, และด้วยมุมมองนั้น MotoGP มันไม่ใช่ทางของเราเลย, มันแพงเกินไป, ซึ่งใช่ มันคือการตัดสินใจจากสถานะเงินทุนของพวกเรา, MotoGP ต้องใช้ทุนในการพัฒนาสูงกว่า WSBK 10 เท่า เป็นอย่างน้อย, คือถ้าจะแข่งตรงนั้น (MotoGP), เราต้องใช้เงิน 60-70 ล้านยูโร (ราวๆ 2,000 – 2,300 ล้านบาท) ต่อปีเพื่อมัน, แต่ Honda จ่ายมากกว่านั้นสัก 100 ล้านยูโร (ราวๆ 3,360 ล้านบาท) ต่อปี, เราไม่สามารถที่จะจัดการเงินขนาดนั้นเพื่อกลับไปแข่ง MotoGP แล้วสู้และสุดท้ายก็ได้กลับมาแค่ที่ 5”
ขอบคุณข้อมูลบทสัมภาษณ์จาก Imotorbike
อ่านข่าว Kawasaki เพิ่มเติมได้ที่นี่
อ่านข่าว MotoGP เพิ่มเติมได้ที่นี่
เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ MotoRival ของเราครับ