หลังจากที่ GPX MAD 300 ได้เผยโฉมครั้งแรกเมื่อช่วงปีที่ผ่านมา กับสไตล์รถ คัสตอม-เน็คเกท ซึ่งไม่ได้ดูแปลกเพราะ ดีไซน์เท่านั้น แต่สิ่งที่สร้างความฮือฮาไม่น้อย เนื่องจากมันเป็นรถที่มีความจุมากที่สุดของค่าย และเป็นรถเครื่องยนต์หม้อน้ำคันแรกของค่ายเช่นเดียวกัน ซึ่ง ณ ปัจจุบันนี้ มันยังเป็นรถที่มีสมรรถนะสูงที่สุด
และ ไม่กี่เดือนมานี้ทาง GPX ก็พร้อมส่งมอบรถให้กับลูกค้าแล้ว ว่าแต่ การที่ใช้ขุมพลัง DOHC หม้อน้ำ พิกัดระดับ 300cc นี้ จะถือทำให้มันเป็นรถที่ขี่สนุกมากแค่ไหน ทีมงาน MotoRival จะมา รีวิว GPX Mad 300 คันนี้ ให้รับชมกันเลยครับ
สำหรับดีไซน์โดยรวมของเจ้า GPX MAD 300 คันนี้ จะถูกออกแบบให้ดูมีความเป็น สปอร์ต คัสตอม-เนคเก็ทไบค์ ที่ดูมีความดุดัน ผสมกับความร่วมสมัยได้เป็นอย่างดี ดังนั้นจุดเด่นหรือไฮไลท์ภายนอกของมัน จึงประกอบไปด้วย
ไฟหน้าเป็นแบบโคมเกือบ 4 เหลี่ยม หลอดด้านในเป็นแบบ LED แบ่งโซน 2 ชั้น ระหว่างไฟต่ำ (ด้านล่าง) กับไฟสูง (ด้านบน) ชัดเจน และมีไฟ DRL ขนาบข้างฝั่งละ 5 ดวง และมีแถบไฟด้านล่างอีก 1 แถบ ซึ่งจากภาพเพื่อนๆก็เห็นไฟเลี้ยว ที่แน่นอนว่าจะต้องเป็นแบบ LED เช่นกัน แต่เพื่อความพิเศษและเข้ากับรูปทรง ทาง GPX จึงออกแบบให้มันมีทรงเป็นตัว U เปิดช่องเข้าหาตรงกลางลำตัวรถ
ไฟท้าย เป็นแบบ LED เช่นกัน โดยจะมีบาร์ไฟทรงตัว U คว่ำ เป็นไฟที่สว่างตลอดเวลาที่สตาร์ทรถ กับมีไฟ LED ดวงเล็กๆแต่สว่างใช้ได้ด้านล่างอีก 5 ดวงที่จะวาบค้างขึ้นมาเวลากดเบรก
จอมาตรวัด Full Digital LCD แสดงผลพื้นฐานทั้ง วัดรอบที่มีสเกลบอกสูงสุดที่ 12,000 รอบ/นาที (แต่เครื่องยนต์ตัดจริงๆที่ 10,000 รอบ/นาที), ความเร็ว ที่สามารถปรับเซ็ทหน่วยวัดได้ ระหว่าง Km/H (กิโลเมตร/ชั่วโมง) กับ MPH (ไมล์/ชั่วโมง) โดยการกดปุ่ม 2 ปุ่ม คู่กันค้างเอาไว้, ระดับน้ำมัน, และตำแหน่งเกียร์ โดยหน้าจอนี้จะสามารถปรับสีได้ทั้งหมด 3 เฉด ได้แก่ สีส้ม, สีแดง, และสีขาว ทว่าหน้าเสียดายตรงที่ไม่มีการใส่สเกลวัดระดับความร้อนเครื่องยนต์มาให้ ทั้งๆที่เครื่องยนต์เป็นแบบระบายความร้อนด้วยน้ำแล้วเรียบร้อย จะมีก็แค่เพียงไฟสัญญาณเตือนเวลาเครื่องร้อนเกินไปเท่านั้นที่ขอบนอกจอด้านบน
ขยับมาด้านล่างอีกนิดก็จะเห็นช่องจ่ายไฟ USB สำหรับชาร์จโทรศัพท์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆมาให้
ชุดสวิทช์แฮนด์ ฝั่งซ้าย มาพร้อมสวิทช์ไฟสูง/ต่ำ, ไฟ Pass Light, ไฟเลี้ยว, และแตร
ส่วนชุดสวิทช์ฝั่งขวาจะเป็น สวิทช์ Off-Run, และ สวิทช์สตาร์ท
ก้านเบรกแบบมีเหรียญปรับระยะได้ 5 ระดับ
ถังน้ำมันเหล็กขนาด 15.1 ลิตร มีการขึ้นรูปให้เห็นเส้นสายชัดเจน และมีการติดตั้งชิ้นพลาสติกครอบช่วงหน้ารถกับฝาถังเอาไว้ให้กลิ่นอายกึ่งๆคลาสสิค, และตัดโทนอีกนิดด้วยชิ้นพลาสติกสีเงินด้านท้ายถังน้ำมัน
พร้อมกันนี้ ยังไม่ลืมที่จะแปะด้านข้างถังด้วยเอมเบลมโลโก้ “MAD” แบบ 3 มิติ สีน้ำตาลทองหม่นๆสุดเคร่งขรึม
ด้านชิ้นพลาสติกใต้เบาะนั่งพิมพ์ลายแนวคัสตอมดูสวยงาม
ชุดเฟรมเป็นแบบโครงถัก ที่เบา แต่ก็แข็งแรงในเวลาเดียวกัน
อกล่างขึ้นรูปให้เห็นเป็นเส้นหนาและบึกบึนรับกับถังน้ำมันด้านบน และชิ้นส่วนบอดี้พาร์ทอื่นๆรอบคัน
เบาะนั่ง 2 ตอน ฝั่งผู้ขี่ขนาดใหญ่ กำลังดี ฝั่งผู้ซ้อนด้านกว้างกำลังสบาย
ช่วงแฟริ่งท้ายทำทรงอันเดอร์เทรล มีการแปะเอมเบลม “300” ฟรอท์และสีเดียวกันกับเอมเบลม “MAD” ที่ข้างถัง ทั้งยังไม่มีการติดตั้งบังโคลนมาให้ในจุดนี้ ช่วยให้ท้ายรถดูโล่ง และเชิดขึ้น เสริมอารมณ์สปอร์ตโฉบเฉี่ยว
และในเมื่อไม่มีบังโคลนด้านบน ทาง GPX จึงใส่กันดีดขนาดใหญ่ด้านล่าง ที่เป็นตำแหน่งยึดแผ่นป้ายทะเบียน กับไฟเลี้ยวหลัง ติดตั้งกับสวิงอาร์มหลังด้วยท่อเหล็กคู่สุดแข็งแรงมาให้ (ที่ไม่เห็นว่าเป็นท่อเหล็กเพราะชิ้นพลาสติกครอบอยู่) ซึ่งจากการใช้งานเราพบว่ามันสามารถกัดน้ำดีดขึ้นมาได้ดีเลยทีเดียว หายห่วงเรื่องคนซ้อนบ่นไปได้เลย
ท่อไอเสียดีไซน์สวยงามที่สุดเท่าที่ GPX เคยทำมา ทำสีออกหม่นๆเล็กน้อยเพื่อความดุดัน เข้ากันได้ดีกับสุ้มเสียงทุ้มต่ำ และแผดเบาๆเวลาเปิดคันเร่ง (จริงๆก็ไม่ได้เบาขนาดนั้นหรอกครับ ลั่นเข้ามาหมวกกันน็อคอยู่ประมาณหนึ่งเลยล่ะ ฮ่าๆ)
ล้ออัลลอย ขนาด 17″ รัดด้วยยางตระกูลสปอร์ตแท้ๆรุ่น iZS จาก iRC ขนาดด้านหน้า 110/70-17
ส่วนด้านหลังนั้นใหญ่ถึง 150/60-17 ส่งผลให้การควบคุมตัวรถสามารถทำได้มั่นใจอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทางแห้งๆ
มิติรถ
– ยาว x กว้าง x สูง : 2,025 x 790 x 1,090 มม.
– ความสูงจากพื้นถึงเบาะ : 795 มม.
– ระยะห่างจากพื้นถึงเครื่อง : 165 มม.
– น้ำหนักรถ : 157 กก.
สำหรับในส่วนของท่านั่ง ด้วยเบาะสูงเพียง 795 มิลลิเมตร และด้านกว้างของเบาะเองก็จัดว่ากำลังดี ทำให้แม้ผู้ขี่จะสูงไม่ถึง 170 เซนติเมตร ก็สามารถขึ้นคร่อมและใช้อุ้งเท้าแตะพื้นทั้งสองข้างได้สบายๆ ส่วนตัวแฮนด์บาร์ออกไปทางกว้าง ตามสไตล์เน็คเกทไบค์ ขณะที่ความสูงนั้นก็กำลังดีและไม่ไกลตัวเท่าไหร่นัก ทำให้ผู้ขี่แทบไม่ต้องโน้มตัวไปข้างหน้า สามารถนั่งหลังเกือบตรงแล้วใช้แขนหักแฮนด์ไปมาเพื่อพลิกเลี้ยวได้สบายๆ
ขณะที่พักเท้าผู้ขี่นั้นด้วยความสูงที่มีอยู่พอประมาณ ประกอบกับการที่เบาะนั่งค่อนข้างจม ทำให้เวลาเอาเท้าขึ้นมาเหยียบจะรู้สึกว่าช่วงต้นขาจะงอกว่าเน็คเกท-ไบค์รุ่นอื่นๆในพิกัดไล่เลี่ยกันที่วางขายอยู่ในตอนนี้ ซึ่งอันที่จริง มันก็ให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างกระชับไปกับถังน้ำมัน และมีผลเกี่ยวเนื่องในเรื่องตอนพลิกเลี้ยวตัวรถด้วยความเร็วสูงๆ ที่จะรู้สึกว่าค่อนข้างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับตัวรถพอสมควร
ด้านเบาะผู้ซ้อนนั้น จัดมาแบบเป็นตอนแยกจากเบาะผู้ขี่ชัดเจนสามารถใช้เป็นพนักดันบั้นท้ายตอนขี่ได้ดี ส่วนผู้ซ้อนเองหากขึ้นนั่งแล้ว ก็ไม่ได้จะรู้สึกว่าสูงจากผู้ขี่เท่าไหร่นัก เพียงแต่ถ้าเป็นผู้ซ้อนตัวหนาๆ อาจจะรู้สึกว่านั่งได้ไม่เต็มก้นบ้าง เนื่องจากตัวเบาะค่อนข้างสั้น ส่วนมือจับด้านท้ายก็ไม่ได้ติดตั้ง หรือทำช่องไว้ให้ ดังนั้นผู้ซ้อนจึงต้องเกาะไหล่ ไม่ก็เกาะเอวผู้ขี่เท่านั้น
ด้านการใช้งานบนท้องถนนที่มีการจราจรคับคั่งสำหรับเจ้า MAD300 คันนี้ จะมีจุดสังเกตที่ต้องทราบหลักๆอยู่ 2 ข้อนั่นก็คือ ข้อแรก หากต้องมุด ตัวความสูงของกระจกมองข้างที่ให้มานั้นจะอยู่ในระดับเตี้ยกว่า กระจกมองข้างของรถกระบะยกสูง, SUV, PPV แบบพอดิบพอดี ทำให้สามารถลอดผ่านไปได้อย่างหายห่วง แต่ถ้าเจอรถที่นอกเหนือจากนี้ อาจจะต้องระวังหน่อยนะครับ เพราะกระจกมองข้างของมันนั้น จะสูงพอดีกับกระจกมองข้างของรถกระบะตัวเตี้ย ตัวตุ้มปลายแฮนด์ซึ่งค่อนข้างยาวไปนิด ก็จะสูงพอดีกับกระจกมองข้างของรถยนต์นั่ง จำพวกรถเก๋ง หรือ รถ ECO Car แทน
ฝั่งเครื่องยนต์ ที่เป็นแบบสูบเดียว จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีดจาก BOSCH ขนาดความจุ 292.4 cc ใหญ่ที่สุดเท่าที่ GPX เคยทำมา และยังเป็นแบบ DOHC ระบายความร้อนด้วยน้ำ ส่งผลให้ในภาพรวม เครื่องยนต์บล็อคนี้จะมีบุคลิกการตอบสนองต่อคันเร่งได้ดี โดยจะมีความติดมือตั้งแต่เกียร์ 1-5 โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารีดรอบในช่วง 6,000 – 9,000 รอบ/นาที (รอบตัดที่ 10,000 รอบ/นาที) ส่วนที่เกียร์ 6 แม้จะไล่ความเร็วช้าลงไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้ถือว่าห้อยแต่อย่างใด แรงสั่นสะท้านมีให้พอรู้สึกตามฉบับรถสูบเดียว แต่ไม่ถือว่าเยอะจนน่ารำคาญใจขนาดนั้น และที่สำคัญคือ ในที่สุด ชุดเกียร์ของมันก็สามารถเตะขึ้นลงได้อย่างนิ่มนวล เรียกได้ว่าลืมความรู้สึกของรุ่นเล็ก 150-180cc ที่มีอยู่ตอนนี้ของทางค่ายไปได้เลย
ขณะที่ย่านความเร็วที่ตัวรถสามารถทำได้สบายๆก็คือ ราวๆ 130 กิโลเมตร/ชั่วโมง หรือถ้าจะใต่ขึ้น 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็สามารถทำได้ง่ายๆโดยที่ไม่ต้องหมอบเพื่อหลบลมเลยสักนิด และไม่ต้องตบเกียร์ 6 ลงมาเกียร์ 5 เพื่อช่วยดึงความเร็วแต่อย่างใด ด้านความเร็วสูงสุดที่ทำได้ก็อยู่ที่ 151 กิโลเมตร/ชั่วโมง (แต่ถ้าจับจาก GPS ก็จะอยู่ที่ 139 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งก็ถือว่าไม่ได้ขี้เหร่อยู่ดี)
ชมคลิป Test Top Speed GPX Mad 300
และอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง จากการขี่ใช้งานในแบบชีวิตประจำวันจริงๆของผู้ทดสอบ (รถติดก็ไต่ลัดเลาะช้าๆไป ทางโล่่งหน่อยๆก็บิดซัดตามทางที่ไปได้) ก็อยู่ที่ 28.52 กิโลเมตร/ลิตร ซึ่งถือว่าเป็นเกณฑ์ระดับมาตรฐานของรถมอเตอร์ไซค์สูบเดียวพิกัดไม่เกิน 300cc
อย่างไรก็ดี หากขี่เจ้า MAD 300 คันนี้มาสักระยะเวลาประมาณหนึ่ง แบบต่อเนื่องไม่ดับเครื่องเลย ไอความร้อนเครื่องยนต์แผ่ออกมาให้รู้สึกได้ แบบพออุ่นๆ โดยเฉพาะกับที่บริเวณต้นขาฝั่งขวา อาจจะเป็นเพราะกระแสลมที่พัดออกมาจากด้านหลังหม้อน้ำดันไหลผ่านช่วงคอท่อพอดี ส่วนฝั่งซ้ายก็มีให้รู้สึกอุ่นๆเช่นกัน แต่ก็ไม่เท่าด้านขวาครับ
ช่วงล่าง ด้านหน้าเป็นแบบหัวกลับ ด้านหลังเป็นแบบโมโนช็อคปรับค่าความแข็ง/อ่อนได้ ทำงานร่วมกับสวิงอาร์มและกระเดื่องทดแรง การเซ็ทติ้งโดยรวมถือว่ากลางๆกำลังดี สามารถซับแรงกระแทกจากผิวถนน เช่น พวกฝาท่อ, หลุม, บ่อ แต่ก็ไม่ถึงอ่อนจนยวบเวลาเจอเนินสะพาน ขณะที่การพลิกเลี้ยวก็สามารถทำได้มั่นใจ และเป็นธรรมชาติมากๆ ไม่มีอาการขืนให้รู้สึก หรือไวจนเกินไปแต่อย่างใด ทว่าหากผู้ขี่เป็นสายซิ่งชอบทิ้งโค้ง ไม่ก็มีสายซ้อนไปด้วยกันแทบทุกวันล่ะก็ เราขอแนะนำว่าให้ปรับความแข็งของโช้กหลังขึ้นอีกสัก 1-2 สเต็ปครับ แล้วจะรู้สึกมั่นใจขึ้นอีกเยอะเลย
ระบบเบรกที่ให้มายังคงจัดเต็มในฉบับ GPX นั่นก็คือ ด้านหน้าจะเป็นแบบคาลิปเปอร์คู่ขนาดใหญ่กำลังดี ทำงานร่วมกับชุดปั๊มโฟลทติ้งเมาท์ ตัวละ 2 ลูกสูบ แถมสายเบรกยังเป็นแบบสายถักมาแล้วเรียบร้อยด้วย ส่งผลให้โดยรวม หากไล่น้ำหนักดีๆ มันก็สามารถหยุดรถได้ตามสั่ง มั่นใจ เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะทางแห้งๆ เพียงแต่ฟีลลิงของตัวก้านเบรกอาจจะสู้มือไปสักนิด
ส่วนด้านหลังนั้น ก็จะเป็นแบบดิสก์เดี่ยว ไซส์มาตรฐานสำหรับรถมอเตอร์ไซค์พิกัด 300cc ทำงานรวมกับปั๊มโฟลทติ้งเมาท์สูบเดียวขนาดใหญ่ ซึ่งแม้ว่าสายเบรกที่ให้มาจะยังไม่ใช่สายถักแบบด้านหน้า แต่ก็ส่งผลให้ฟีลลิ่งการกดเบรกเท้าลงไปนั้น มีความนิ่มนวล และไล่น้ำหนักได้เนียนมากกว่าแทน ดังนั้นหากเพื่อนๆคนไหนมีทักษะประเภทจิมคาน่า ที่ชอบใช้เบรกหลังเป็นตัวช่วยเวลาซอกแซกล่ะก็ จะรู้สึกถูกใจกับเบรกหลังเจ้านี่มากๆเลยล่ะครับ
สรุป รีวิว GPX MAD 300 คันนี้ ถือเป็นรถมอเตอร์ไซค์เนคเก็ทไบค์อีกคัน ที่ทาง GPX สามารถทำมันออกมาได้ค่อนข้างลงตัว ทั้งเครื่องยนต์ที่มีพละกำลังสมกับ cc ที่ให้มา ขณะที่การควบคุมตัวรถต่างๆก็สามารถทำได้อย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะช่วงล่าง ยาง หรือจะเบรก ต่างก็เซ็ทออกมาให้รองรับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดีไม่แพ้รถมอเตอร์ไซค์รุ่นอื่นๆที่อยู่ในช่วงพิกัดเดียวกัน ทั้งๆที่ราคาของมันนั้นเทียบเท่ากับรถมอเตอร์ไซค์ในพิกัด 150cc ของค่ายใหญ่ๆเสียด้วยซ้ำ
ดังนั้นความคุ้มค่าของเจ้านี่จึงจัดว่าเหลือๆ เพราะตั้งไว้แค่เพียง 93,500 บาทเท่านั้น (คือถ้าเป็นเมื่อก่อนเราคงบอกว่า “บ้าไปแล้ว” รถ 300cc อะไรราคาไม่ถึงแสน !!)
สำหรับเพื่อนๆคนไหนที่สนใจ อยากลองสัมผัสตัวจริงของเจ้า GPX MAD 300 ก็สามารถรับชมได้แล้ววันนี้ ทั้งตัวรถสีเงิน, สีดำ, สีเหลือง, และสีแดงสุดสวยที่มาเป็นพระเอกของเราในครั้งนี้ที่ศูนย์บริการ GPX ทั่วประเทศได้เลยครับผม
รณกฤต ลิมปิชาติ Test Rider + Photo + Writer
ภณ เพียรทนงกิจ Editor + Photo
สุภิญญา ชำนาญกุล VDO
อ่านรีวิว อื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
อ่านข่าวสาร GPX เพิ่มเติมได้ที่นี่
เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ MotoRival ของเราครับ