สวัสดีครับ คุณผู้ชมทุกท่านกลับมาพบกับ ผม ภณ MotoRival กันอีกเช่นเคย ในวันนี้เราได้มีโอกาสมาสัมผัสรถ EV Bike แท้ๆ ซึ่งมันเป็นรถสำหรับคนเมือง
นั่นก็คือ Swag เพิ่งเปิดตัวไปอย่างเป็นทางการกันไปหมาดๆ เมื่อเดือนที่ผ่านมา จะเป็นเช่นไร Swag โดดเด่นเรื่องการใช้ มอเตอร์ขับเคลื่อนจาก Bosch และ แบตเตอรี่จาก Samsung
ที่เรียกได้ว่ามั่นใจได้ แล้วจะมีอะไรน่าสนใจกันอีกบ้าง เรามาดู รีวิว Swag Type S/ Type X 2 คู่หู EV Bike กันเลยครับ
เริ่มกันที่รูปลักษณ์
Swag Type S / X ใช้ ระบบไฟหน้าแบบ Full LED โคมโปรเจ็คเตอร์ 3 ดวง เช่นกัน
Type S กรอบไฟเป็นทรง Minimal มีไฟ DRL อยู่ล้อมกรอบด้านนอก ไฟเลี้ยวอยู่ด้านบนบริเวณใต้วินชิลด์หน้า
Type X กรอบไฟ DRL เป็นรูปตัว X ตามชื่อรุ่น ส่วนไฟเลี้ยว LED จะอยู่ที่บริเวณชุดพลาสติกครอบแผงคอบน
ไฟท้ายทั้ง 2 โมเดล ใช้หลอดฮาโลเจน
Type S เป็นทรง Minimal รับกับไฟหน้า มีไฟเลี้ยว LED ขนาบอยู่ด้านข้างขนาดเล็ก
Type X ไฟท้าย เป็นทรง 5 เหลี่ยมขนาดใหญ่ ขนาบข้างด้วยไฟเลี้ยวดวงโตเช่นกัน
ลิ้นชักหน้า ทั้ง 2 รุ่น มาพร้อม Port USB ซึ่งสามารถเสียบชาร์จไฟได้เลยโดยไม่ต้องบิดกุญแจสตาร์ท ถัดต่ำลงมาตะขอเกี่ยวของจะเป็นแบบ Flip ต้องใช้นิ้วกดเพื่อง้างตะขอออก
ลิ้นชักฝั่งซ้าย Type X จะมีขนาดใหญ่ มีความจุพอที่จะใส่ขวดน้ำขนาด 1.5 ลิตร ลงไปได้สบายๆ นอกจากนี้ทางฝั่งขวาก็จะมีช่องเก็บของพอจะใส่โทรศัพท์ หรือกระเป๋าสตางค์ลงไปได้ ถัดต่ำลงมาตะขอเกี่ยวของจะเป็นแบบ Fix ตำแหน่ง
ตำแหน่งพักเท้าผู้ซ้อน Type S พักเท้าจะเก็บพับซ่อนแนบชิดติดกับบอดี้รถ
Type X พักเท้าคนซ้อน จะวางบน Floorboard แบบ Scooter Italy
ใน Type X จะมีการติดตั้งแผ่นบังสวิงอาร์มมาให้ทั้ง 2 ฝั่ง
ขนาดวงล้อ
Type S ใช้ล้อ 10″ หน้า-หลัง กว้าง 3″
Type X ใช้ล้อ 12″ หน้า-หลัง สวมยางไซส์ 90/90
มาตรวัด เป็นจอ Full Digital LCD ทั้งคู่
บอกรายละเอียด ความเร็วเป็นตัวเลข, ระดับแบตเตอรี่คงเหลือม, อุณหภูมิภายนอก
Mode ขับขี่, Odo สะสม เมื่อเริ่มบิดกุญแจ และสักแปปจะเปลี่ยยเป็น Trip set 0 ให้ใหม่ ทุกครั้ง
ระบบกุญแจ สามารถใช้บิดไขสตาร์ทได้ หรือ จะใช้ระบบ Keyless แบบรถยนต์ก็ได้
นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบกันขโมย และ ปุ่มเรียกรถ
สวิทช์ฝั่งซ้าย จะประกอบไปด้วย ไฟสูงต่ำ, แตร, ไฟเลี้ยว
สวิทช์ฝั่งขวา จะมีปุ่มปรับ Mode 1-3, ปุ่มสตาร์ท, ปุ่มปิดไฟหน้า
เบาะนั่ง Type S เป็นสีน้ำตาล ชิ้นเดียวขนาดเล็ก
Type X เป็นสีดำ ชิ้นเดียวแยก 2 สเต็ป
เมื่อบิดกุญแจเปิด U-Box จะพบกับแบตเตอรี่ และช่องเก็บของขนาดพอจะใส่ของจุกจิกเข้าไปได้ประมาณหนึ่ง
มิติรถ
กว้างxยาวxสูง = 735x1740x1090 มม. Type S
= 670x1880x1090 มม. Type X
ระยะฐานล้อ = 1240 มม. Type S
= 1400 มม. Type X
น้ำหนัก = 62 กก. Type-S
= 70 กิโลกรัมในรุ่น Type-X
เริ่มที่ นน. ดูจากตัวเลขแล้วถือว่าหนักทีเดียว แต่จากการขี่จริง มันถือว่าเป็นรถที่โดยรวมต้องบอกว่าเป็นรถที่เบามากๆ ให่ความรู้สึกเหมือนกับเพียง 100 กก. นิดๆ เท่านั้น
เนื่องจากน้ำหนักส่วนใหญ่จะอยู่บริเวณด้านล่าง บริเวณล้อหลัง ทำให้จุดศูนย์ถ่วงต่ำมาก สามารถเข็น รวมถึงการคอนโทรลรถที่ใกล้เคียงกับรถเครื่องยนต์ปกติ
ความสูงเบาะ ไม่ได้มีตัวเลขเปิดเผย แต่ค่อนข้างเตี้ยมากทีเดียว คาดว่าประมาณ 760 มม. ซึ่งท่านั่งถือว่าค่อนข้างจมไปนิด ผู้ที่ตัวค่อนข้างยาว เข่าอาจจะติดไปหน่อย
และอาจต้องนั่งชันเข่าพอควร
Type S
ช่องวางเท้าเป็นร่อง เอาบล็อกตำแหน่งของรองเท้า
ส่วนแฮนด์ค่อนข้างแคบสั้น และหน้าเบามาก เหมาะกับการขี่ลัดเลาะในเมือง
Type X
ตำแหน่งแฮนด์ กำลังพอดี เหมือนพวกรถ AT ญี่ปุ่น
ความหนืดแฮนด์จะมากกว่า ซึ่งก็ให้ความรู้สึกในการควบคุมที่ดูมั่นคงกว่าเช่นกัน
ตำแหน่งผู้ซ้อน
Type S เบาะนั่งเล็กไปนิดถ้าคนสรีระใหญ่ 2 คนนั่งซ้อนกัน ค่อนข้างจะลำบาก
ส่วนตำแหน่งวางขา จะกำลังพอดี
Type X เบาะนั่งแยก 2 สเต็ป นั่งสบายเหมือนรถ AT ญี่ปุ่นทั่วไป
ส่วนตำแหน่งวางขา ที่ต้องวางบน Floorboard อาจจะวางได้ไม่เต็มเท้านัก
นอกจากนี้ ระยะ Ground Clearance ของ Type S จะค่อนข้างน้อย ดังนั้นเวลาขึ้นเนินที่สูงชัน อาจจะต้องระวังขาตั้งคู่ครูดได้
ขุมกำลังมอเตอร์ไฟฟ้าจาก Bosch ซึ่งได้ร่วมมือกับทาง Swag ในการออกแบบมอเตอร์ขับเคลื่อนอยู่ภายในชุดล้อหลัง
โดยใน Type S จะมีกำลังขับสูงสุด 1,750 วัตต์
ส่วน Type X จะมีกำลังขับมากกว่าเล็กน้อยอยู่ที่ 2,000 วัตต์
TopSpeed ทั้งคู่เคลมที่ 55 กม./ชม. กับ ระยะทางที่วิ่งได้ต่อการชาร์จอยู่ที่ 90 กม.
เริ่มบิดกุญแจเสร็จ กดปุ่มสตาร์ทได้เลย โดยไม่ต้องกำเบรก ค้างไว้ จะมีคำว่า Ready สีเขียวโชว์ขึ้น ก็สามารถบิดได้ทัน
ใครที่ไม่เคยขี่ EV Bike มาก่อน แนะนำว่า ให้เริ่มที่ Mode 1 ก่อน จะเป็นโหมดที่เบาที่สุด คันเร่งจะตอบสนองช้ากว่าโหมดอื่น
แต่ถึงอย่างไรก็ต้องไม่ลืมว่า รถ EV ไม่มีรอบ บิดปุป แรงบิดทั้งหมดถูกถ่ายจากมอเตอร์ลงล้อหลัง ทันที ซึ่งก็ต้องในการเปิดคันเร่งออกตัวจากจุดหยุดนิ่ง ในทุก Mode แม้จะเป็น Mode 1 ก็ตาม
เพราะการเดินคันเร่งแบบกระทันหัน เพราะอาจจะทำให้รถพุ่งกระชากอันตรายได้
Mode 1 TopSpeed ล็อกที่ 30 กม./ชม.
Mode 2 TopSpeed ล็อกที่ 40 กม./ชม. การตอบสนองของคันเร่งและการพุ่งออกตัวจะแรงกว่า Mode 1
Mode 3 TopSpeed ได้ที่ประมาณ 50 กม./ชม. การตอบสนองของคันเร่งและการพุ่งออกตัวจะแรงกว่า Mode 2
ภาพรวมนั้น เมื่อบิดคันเร่งออกตัวทันที รถจะพุ่งไปอย่างรวดเร็ว เรื่องจากแรงบิดสูงสุดถูกส่งออกมาโดยทันที ไม่ต้องรอรอบเหมือนเครื่องยนต์ เพียงแปปเดียวความเร็วพุ่งไปถึงประมาณ 20+ นิดๆ รถจะไหลขึ้นเรื่อยๆ ไปถึงช่วง 40 หลังจากนี้ความเร็วจะไต่ขึ้นช้าๆ ก่อนที่ TopSpeed จะตันราวๆ 50 กม./ชม. มีบางจังหวะ ที่ผมสามารถไหลขึ้นไปได้ถึง 54 กม./ชม. ซึ่งใกล้กับที่เคลม 55 กม./ชม.
อย่างไรก็ดีมันไม่มีเสียง เหมือนรถที่ใช้เครื่องยนต์ เพราะฉะนั้น จะต้องระมัดระวังผู้สัญจรไปมาด้วย
หากเทียบอัตราเร่งทั้ง 2 รุ่น จากการขี่จริง จะพบว่าทั้ง 2 โมเดล ทำได้ใกล้เคียงกัน แม้ว่า S จะมีกำลังจากมอเตอร์น้อยกว่า แต่ด้วยน้ำหนักตัวที่เบากว่าจึงทำให้ภาพรวมสมรรถนะนั้นไม่หนีกัน
แบตเตอรี่ Li-ion จาก Samsung แรงดัน 60V กำลังการผลิต 26AH (Amp Hour) มีน้ำหนัก 9.5 กก.
สามารถชาร์จไฟได้ 2 แบบ ผ่านตัวรถโดยตรง หรือ จะถอดแบตเตอรี่ ออกจาก U box มาชาร์จก็ได้เช่นกัน โดยต้องกดปุ่ม Off ที่ สวิทช์ Cutout ก่อน และไขกุญแจแล้วจึงดึงยกแบตเตอรี่ออกมา
เมื่อแบตชาร์จจนเต็มแล้ว อแดปเตอร์จะทำการตัดไฟอัตโนมัติเหมือนกับการชาร์จแบตเตอรี่มือถือ
สำหรับแบตลูกนี้ Samsung เคลมว่าชาร์จได้ 1,000 รอบ เรื่องการกินไฟในการชาร์จนั้น จะตกเฉลี่ย 8 บาท/การชาร์จ (กินไฟประมาณ 2 หน่วย)
หากชาร์จแบตเตอรี่เต็ม 1 รอบ เคลมตัวเลขวิ่งได้ 90 กม. จะตก 1 บาท วิ่งได้ 10 กม.
ถ้าเทียบกับมอเตอร์ไซค์แม่บ้าน อัตราสิ้นเปลืองราว 45 กม./ลิตร (E10 95 ราว 26 บาท) ต้องใช้เงินประมาณ 52 บาท เพื่อให้วิ่งได้ราว 90 กม. เช่นเดียวกัน
คำนวนอัตราสิ้นเปลืองใช้งานจริง
Type X รับรถ แบต 99% odo 19km
ตอนคืนรถ แบตเหลือ 23% odo 69km
ใช้แบตไป 76% วิ่งได้ 50 km
ดังนั้นแบต 1% วิ่งได้ 0.657 km
Type S รับรถ แบต 100% odo 8km
ตอนคืนรถ แบตเหลือ 29% odo 45km
ใช้แบตไป 71% วิ่งได้ 37 km
ดังนั้นแบต 1% วิ่งได้ 0.52 km
สำหรับเรื่องของการกันน้ำ ตัวรถได้มาตรฐาน IP65 หมายถึง ป้องกันฝุ่นได้สมบูรณ์ และป้องกันน้ำจากการฉีดได้ทุกทิศทาง แต่ต้องระวังการอัดฉีดรุนแรง ดังนั้นไม่ควรนำรถไปล้างอัดฉีด
ซึ่งระดับความลึกในการลุยน้ำจริง ก็จะห้ามสํูงเกินช่องจ่ายไฟ แต่แนะนำไม่ควรลุยสูงเกิน Floorboard ป้องกันน้ำกระเซ็นเข้าช่องชาร์จไฟ
โดย Type S เคลมลุยน้ำได้ ลึก 200 มม. และ Type X ได้ 220 มม.
ระบบกันสะเทือน
ทั้ง 2 โมเดล ด้านหน้าเป็นโช้กอัพหัวตั้ง และด้านหลัง เป็นโช้กคู่ เช่นเดียวกันทั้ง 2 โมเดล
ซึ่งภาพรวมการใช้งาน ก็จะให้ฟีลลิ่ง ใกล้เคียงกับรถสกู๊ตเตอร์ญี่ปุ่นทั่วไป ทั้งในเรื่องของการซับแรงสะเทือน และการยึดเกาะ
แต่จุดหนึ่งที่สังเกตุได้ทันที ที่เริ่มขี่ใน Type S คือ แนวแกนโช้กหน้าค่อนข้างชันมาก ทำให้มุม Rake น้อย หน้ารถดูเบา ให้ความรู้สึกหน้าไว ทำให้การลัดเลาะเลี้ยวทำได้ฉับไว
ขณะที่ Type X มุม Rake จะมากกว่า ซึ่งก็มีความหนืดหน่วงของช่วงหน้ารถมากกว่า แต่ก็จะให้ความมั่นคงที่ดีกว่า
ระบบดิสก์เบรก หน้า-หลัง
มาพร้อมระบบ Combined Brake (CBS) ที่จะมาช่วยกระจายแรงเบรกทั้งหน้า-หลัง ให้สมดุลย์
ซึ่ง Type S ด้านหน้าใช้ปั๊มลูกสูบเดี่ยวขนาดใหญ่ และด้านหลัง 2 ลูกสูบ
ส่วน Type X ด้านหน้า-หลัง ใช้คาลิปเปอร์ 2 ลูกสูบ แบบเดียวกัน
โดยภาพรวมการใช้งาน การบีบปั๊มเบรกอาจจะมีความรู้สึกว่าแข็งไปนิด แต่โดยรวมถือว่าหยุดรถได้อย่างเหมาะสม กับสมรรถนะของตัวรถ และเบรกจิกมือ หยุดรถได้ทันท่วงที
สรุป รีวิว Swag Type S/ Type X ในครั้งนี้ กับ 2 คู่หู EV Bike เอาใจคนเมือง ราคาจับต้องได้
สมรรถนะการันตีได้จาก มอเตอร์ขับเคลื่อน และแบตเตอรี่แบรนด์ระดับโลก
นับว่าเป็นรถที่ขี่ใช้งานง่าย อัตราเร่งออกตัวดี ถ้าขี่ใช้งานในหมู่บ้าน หรือรถติดๆ อย่างเส้นสุขุมวิท, เอกมัย ที่ไม่ต้องได้ใช้ความเร็ว หรือ ต้องบิดข้ามสะพาน
ถือว่าเป็นรถที่เหมาะกับการใช้งาน แต่ถ้าในอนาคต มีการพัฒนาเรื่องความเร็วปลาย ให้สูงกว่านี้ ก็จะใช้งานได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ข้อดี ของ EV Bike นอกเหนือจาก ประหยัด คือ การบำรุงดูแลรักษาง่ายสะดวก เพราะไม่ต้องมาวุ่นวาย กับการเติมน้ำมัน, ถ่ายน้ำมันเครื่อง, เปลี่ยนกรอง หรือ หัวเทียน, เช็คระบบอากาศ และคายไอเสีย, ระบบขับเคลื่อนอย่าง โซ่ สเตอร์ หรือ สายพาน
เพราะสิ่งที่คุณต้องดูแล นอกเหนือจากการชาร์จแบต นั่นจะมีเพียง ยาง, กับผ้าเบรก ซึ่งยางสามารถไปเปลี่ยนได้เลยตามไซส์ที่ใส่ ส่วนผ้าเบรกก็หาร้านข้างนอก สามารถเทียบ และเปลี่ยนเอง หรือ ให้ช่างเปลี่ยนก็ได้เช่นกัน
ด้านราคา
Swag Type S ราคา 62,900 บาท มีให้เลือก 3 สี คือ Space Grey, Ghost White, Lava Red
Swag Type X ราคา 65,900 บาท มีให้เลือก 2 สี คือ Space Grey, Ghost White
ผู้สนใจสามารถชม มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า Swag ได้ที่โชว์รูม Swag Siam Squre One หรือ หาข้อมูลได้ทาง SwagEV.com
ภณ เพียรทนงกิจ Test Rider
สุภิญญา ชำนาญกุล VDO
อ่านข่าว EV เพิ่มเติมได้ที่นี่
อ่านข่าว Swag เพิ่มเติมได้ที่นี่
อ่าน รีวิว อื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ MotoRival ของเราครับ