Royal Enfiel Himalayan 650 ว่าที่รถคันใหม่จากทางค่ายผู้ดีภารตะ ที่จะถูกพัฒนาบนพื้นฐานของเครื่องยนต์ระบายความร้อนด้วยอากาศ 2 สูบเรียง 650cc ที่ประจำอยู่ในรถสไตล์คาเฟ่และโรดสเตอร์ของทางทางค่าย แต่จากข้อมูลที่เราได้มาคือจามารีคลาสกลางคันใหม่นี้จะมีแนวทางที่เปลี่ยนไปจากเดิม เพิ่มเติมคือขับสะบาย Royal Enfiel Himalayan 650 ใหม่ที่จะมาในอนาคตนั้น อันที่จริงแล้วมันไม่อยู่ในแผนการพัฒนารถของทางค่ายผู้ดีย้ายสัญชาติรายนี้เลยด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากว่ากระแสตอบรับของ Himalayan 400 ขายได้เป็นเทน้ำเทท่า แต่ดันมีคำติอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับความสามารถในการขับบนราดยางตรงยาว และการเดินทางในระยะไกล(เนื่องจากว่ารถเดิมนั้นเน้นการลุยฝุ่นมากเป็นพิเศษ) ทำให้ทางค่ายเห็นช่องทางการตลาดใหม่และให้ไฟเขียวโครงการนี้อย่างรวดเร็ว โดยรถใหม่คันนี้อาจจะมีอะไรเปลี่ยนไปหลายอย่างหากเทียบกับ Himalayan รุ่นที่ทำตลาดอยู่เดิม เช่นรูปแบบการขับขี่ที่เน้นการใช้งานทางเรียบมากขึ้น เปลี่ยนจากล้อหน้าขนาด 21 นิ้ว เป็น 19 นิ้ว เพื่อชดเชยจุดอ่อนของรุ่นเดิมที่ขายอยู่ แต่จะยังคงรักษารูปลักษณ์และสไตล์การออกแบบเดิมไว้เกือบทั้งหมด ส่วนเรื่องเครื่องยนต์ก็แน่นอนว่ามันจะต้องใช้เครื่องยนต์ 2 สูบเรียง 650cc 47hp เครื่องเดิมที่ปรับจูนรูปแบบการให้กำลังให้เหมาะสมกับการใช้งานแบบผสมทางเรียบทางฝุ่นมากขึ้น พร้อมเทคโนโลยียุคใหม่ตามยุคสมัยและอาจจะมีลุ้นได้เห็นหน้าจอสีแบบ TFT ด้วย ถึงแม้ตัวรถจะถูกให้ไฟเขียวพัฒนามาถึง 1 ปีครึ่งแล้ว แต่กำหนดการเปิดตัวนั้นถูกวางไว้ในช่วงไตรมาตรสุดท้ายของปี…
Author: Kristha
เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลแข่งขัน MotoGP แล้วตัวนักแข่งเกิดหมดสัญญากับทีมแข่งของตัวเองแล้วย้ายไปทำงานกับทีมใหม่ ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนัก หากทีมช่างที่รู้ใจและทำงานด้วยกันมานานนับปีจะย้ายทีมตามกันไปด้วยเพื่อไปช่วยเหลือกันในทีมใหม่ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลานับหนึ่งใหม่กับตำแหน่งงานที่ต้องอาศัยความไว้ใจเป็นสำคัญ แต่กับนักแข่งที่เลิกแข่งแล้วล่ะ? คำตอบของคำถามที่ว่าก็คงจะเป็นการอยู่ต่อทีมเดิมต่อไป เพราะอาชีพ Pit crew หรือทีมช่างในสนามในตำแหน่งต่าง ๆ นั้นมีอายุการทำงานนานกว่านักแข่งเป็นไหน ๆ แต่กรณีของทีมช่างจาก Yamaha SRT ที่คอยสนับสนุน Valentino Rossi นั้นต่างออกไปเมื่อ David Munoz(หัวหน้าช่าง), Matteo Flamigni(ฝ่ายข้อมูล) และ Idalio Gavira(โค้ช) ของ Rossi นั้นจะย้ายตามไปทำงานให้กับทีม VR46 ที่หมอเป็นเจ้าของอีกด้วย เพื่อคอยเป็นทีมงานที่รู้ใจเพื่อคอยสนับสนุน Luca Marini และ Marco Bezzecchi น้องต่างพ่อและเด็กในสังกัดต่อไปเรื่อย ๆ “ผมไม่รู้ว่าเราจะเรียกว่าเป็นการยืนยันอย่างเป็นทางการได้หรือยังนะ แต่ทีมของผมจะย้ายไปอยู่กับเราด้วย(ที่ VR46) อย่างน้อยคนนึงจะอยู่กับน้องของผม และอีกคนนึงอยู่กับ Bezzecchi” – Valentino…
สรุปการลงทดสอบรอบแรก FP1 ของ Premier Class ในการแข่งขันรอบที่สองของปีที่สนาม Misano ประเทศอิตาลี ในรายการ EmiliaRomagnaGP โดยผู้ที่เร็วที่สุดในการซ้อมรอบแรกคือ Johann Zarco โดยลำดับและเวลาในการซ้อม 15 ลำดับแรกเป็นดังนี้ 1. Johann Zarco #5, Ducati, 1’42.374 2. Marc Marquez #93, Honda, 1’43.791 3. Jack Miller #43, Ducati, 1’43.999 4. Jorge Martin #89, Ducati, 1’44.041 5. Franco Morbidelli #21, Yamaha, 1’44.054 6. Francesco Bagnaia #63, Ducati, 1’44.183 7. Miguel Oliveira #88, KTM, 1’44.243 8. Danilo Petrucci #9, KTM, 1’44.324 9. Iker Lecuona #27, KTM,…
Kawasaki Hybrid โครงการของค่ายเขียว Kawasaki ที่เตรียมการแผนสำหรับอนาคต ที่จะเปลี่ยนไลน์อัพสินค้าของตัวเองทั้งหมดให้เป็นรถไฟฟ้า หรือรถไฮบริดเครื่องยนต์พ่วงไฟฟ้า โดยจากแผนการล่าสุดที่ผู้บริหารที่ออกมาประกาศนั้น ค่ายเขียวต้องการจะเปิดตัวรถกลุ่มที่ว่าถึง 10 รุ่นภายในปี 2025 ก่อนที่จะลามไปทั่วไลน์อัพในปี 2035 Kawasaki Hybrid Prototype ที่เราเห็นในภาพนี้จัดอยู่ในโครงการ EV Project หรือก็คือโครงการเดียวกับรถไฟฟ้าพลังงานจากแบตเตอรี่ที่เคยนำมาแสดงมาไม่กี่ปีก่อน แต่ในรถต้นแบบคันใหม่คราวนี้จะเป็นรถจักรยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน 2 สูบเรียง ที่คาดว่าจะเป็นเครื่องยนต์เดียวกับที่ใช้ใน Ninja 400 และ Z400 แต่ผ่านการดัดแปลงโดยเพิ่มระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าไป เพื่อเพิ่มความประหยัดน้ำมันและพละกำลังในยามที่ต้องการ พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในการขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้านั้นก็จะมาจากแบตเตอรี่ 48v ที่เก็บอยู่ใต้เบาะรถ ซึ่งหน้าที่ของมันไม่ใช่การใช้ขับเคลื่อนรถมอเตอร์ไซค์ตลอดเวลาการใช้งาน แต่จะเป็นตัวช่วยลดภาระเครื่องยนต์สันดาปเพื่อเพิ่มความประหยัด หรือขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนในระยะทางสั้น ๆ ในกรณีที่ใช้งานแบบ Stop and Go ในเมือง ซึ่งการใช้งานในเมืองแบบเดี๋ยวขับเดี๋ยวจอดก็เป็นจุดอ่อนของเครื่องยนต์น้ำมันอยู่แล้ว ส่วนเวลาการเปิดตัวรุ่น Production นั้นก็อาจจะต้องใช้เวลาอีกสักพัก แต่ทางค่ายก็บอกเราไปแล้วว่าจะเปิดตัวรถไฮบริดและไฟฟ้ารวม 10 รุ่นภายในปี…
KTM 890 SMT หรืออย่างน้อยก็รถที่เราคิดว่าเป็น SMT รุ่นใหม่ โผล่วิ่งทดสอบอยู่ในถนนสาธารณะ โดยมันจะถูกพัฒนาพื้นฐานของรถแอดเวนเจอร์คันปัจจุบันของค่ายอย่าง KTM 890 Adventure แต่ผ่านการปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนใหม่หลายชิ้นเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานบนทางดำแบบเต็มตัวมากขึ้น หลังจากที่รถรุ่นพี่ตระกูล Adventure นั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งานในทางฝุ่นแบบโดดเนินลุยทายแบบเต็มตัว KTM 890 SMT (spyshot ชมที่นี่ก่อนอ่านต่อ) โดยถ้ามองผ่าน ๆ รถในภาพก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่ามันก็คือ KTM 790 หรือ 890 Adventure ที่กำลังทำตลาดอยู่ในปัจจุบัน แต่มีข้อแตกต่างใหญ่ที่สุดอยู่ที่ล้อ ที่เปลี่ยนจากล้อซี่ลวดขนาด 21 นิ้ว ที่ด้านหน้าและ 19 นิ้ว ที่ด้านหลัง เป็นล้อแม็กอัลลอยขนาด 17 นิ้ว ที่ด้านหน้าและหลังแทน รวมถึงยางก็เปลี่ยนจากยางหนามและยางกึ่งหนามเป็นยางทางเรียบปกติ ซึ่งมันจะทำให้ตัวรถเตี้ยลงอย่างเห็นได้ชัด และมีความเหมาะสมสำหรับการใช้งานทางเรียบมากขึ้น ส่วนสเปคเครื่องยนต์ก็คาดว่าจะเป็นเครื่องยนต์ระบายความร้อนด้วยน้ำ 2 สูบเรียง ขนาด 799-899cc ลูกเดิมที่อาจจะมีการปรับเปลี่ยนสเปคด้านอัตราทดเกียร์…
Jedi K750 Vision Concept bike คันใหม่จากค่ายรถจักรยานยนต์แห่งจีนแผ่นดินใหญ่ โชว์ตัวไปเมื่อไม่นานมานี้ที่งาน CIMA(ที่ไม่ใช่โลชั่น) งานโชว์รถขนาดใหญ่ในประเทศจีน คล้ายกับงาน EICMA ที่จัดขึ้นในอิตาลี ตัวเบิกทางของค่ายไปสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้น หลังที่บริษัทเน้นผลิตรถสกู๊ตเตอร์คลาสเล็กมานาน Jedi K750 รถคอนเซ็ปบิกไบค์คันแรกของค่ายที่เป็นตัวชูโรง และเบิกทางไปสู่ตลาดคลาสกลาง มาพร้อมกับรูปลักษณ์แบบสปอร์ตต่างดาวสมกับชื่อค่าย Jedi ที่ให้ความทันสมัยและละมุนกำลังดี ไม่เยอะจนเกินไปเหมือนค่ายหน้าใหม่ส่วนใหญ่จากแผ่นดินจีน ที่ดูไปดูมาก็เหมือนรถไฟฟ้าอยู่บ้าง ขุมกำลังมาพร้อมกับเครื่องยนต์ไซส์กลางระบายความร้อนด้วยน้ำ 2 สูบเรียง 750cc ที่ให้พละกำลังสูงสุดที่ 69hp เพื่อเน้นใช้งานในชีวิตประจำวัน ระบบกับสะเทือนหน้าเป็นแบบหัวกลับ พร้อมเบรคหน้าแบบเรเดียลเม้าท์ดิสก์คู่จาก Brembo และระบบไฟ LED รอบคัน Jedi JFR750 รถคอนเซ็ปฝาแฝดโฉมเน็คเกตไฟกลมที่มาพร้อมกันถึง 2 โมเดล ทั้งในคราบรถคาเฟ่แฮนด์หมอบ ล้อแม็ก ติดกระจกปลายแฮนด์ ไว้ขับเล่นบนทางดำ และคราบรถสแครมเบลอร์ ล้อซี่ลวด ยางหนามพร้อมลุยแบบเบา ๆ ที่มาพร้อมเครื่องยนต์แบบเดียวกับตัวพี่สาบสปอร์ตสปอร์ต…
Suzuki Recursion 700 ชื่อสมมุติที่เราตั้งขึ้นสำหรับโปรเจคท์ของรถยนต์ปริศนาจากค่ายคนบ้า Suzuki ที่คาดว่าเป็นสิทธิบัตรของรถโปรดักชั่นรุ่นใหม่ล่าสุดของทางค่าย ที่จะทำออกมาเพื่อตีตลาดรถคลาสกลางค่ายญี่ปุ่น และอาจจะมาเพื่อแทนที่รถเครื่องยนต์ V-Twin เดิมที่ทำตลาดมานาน หากทุกคนยังจำกันได้ว่าชื่อของ Suzuki Recursion เป็นชื่อของรถสปอร์ตต้นแบบที่ใช้เครื่องยนต์ 2 สูบเรียง เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ 588cc จากค่ายคนบ้าที่เปิดตัวและดึงความสนใจจากผู้คนได้อย่างดีเพราะมีสเปคที่โดดเด่นจากการที่ติดเทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ แต่ก็ดูมีความหวังที่มันจะกลายเป็นรถโปรดักชั่นอยู่สูง อาจจะเพราะว่ามันไม่ใช่รถตัวท็อบที่สเปคดูเว่อวังเกินจริงมากเกินไป ไหนจะขนาดความจุที่เล็กไม่ถึง 600cc ทำให้ง่ายที่จะจินตนาการถึงการได้เป็นเจ้าของ ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา Suzuki ก็ได้ปล่อยภาพสิทธิบัตรใหม่เกี่ยวกับข้อมูลของเครื่องยนต์ หรือข้อมูลด้านอื่นที่เกี่ยวของกับรถต้นแบบให้เราเห็นอยู่ตลอด แต่ก็ไม่มีการเปิดตัวจริงสักทีจนหลายคนเลิกหวังไปแล้ว แต่สิทธิบัตรล่าสุดก็ทำให้เราเห็นโอกาสที่มันจะเปิดตัวของมันอีกครั้ง แต่มันกลับมาในรูปแบบที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงในด้านรายละเอียดเครื่องยนต์ โดยรูปแบบของเครื่องยนต์ 2 สูบเรียงระบายความร้อนด้วยน้ำ DOHC จะยังคงเดิม และเพิ่มความจุเครื่องยนต์เป็น 700cc ซึ่งถ้าเราอ่านจบแค่ตรงนี้มันก็คงคิดว่าเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำที่เครื่องยนต์ใหญ่ขึ้น แต่สิ่งที่ต่างออกไปก็คือ เครื่องยนต์ลูกนี้จะไม่มีเทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์อีกแล้ว แต่จะเป็นเครื่องหายใจธรรมชาติแทน ถ้าในเมื่อสเปคเป็นแบบที่เราว่าจริง Suzuki Recursion 700 คันนี้ก็คงดูเหมือนรถคลาสกลางปกติทั่วไปที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษ แต่ขณะเดียวกัน เนื่องจากมันไม่ได้มีอะไรพิเศษ แปลว่าความเป็นไปได้ที่มันจะถูกนำออกมาจำหน่ายก็เป็นเรื่องที่เกิดได้ง่ายขึ้นเช่นเดียวกัน…
หลังจากที่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา Kawasaki Heavy Industry มีการแยกส่วนการบริหารของบริษัท Kawasaki Motor Limited(มอเตอร์ไซค์) ออกจากบริษัทแม่แล้ว ล่าสุด Hirochi Ito ประธานของบริษัท Kawasaki Motor Limited ก็ได้ออกมาประกาศแผนการดำเนินการในอนาคตของค่ายเขียวที่ Tokyo’s Port Hall Takeshiba เกี่ยวกับแผนการทำงานเพื่อมุ่งหน้าไปสู่อนาคตสีเขียวตามเทรนของโลก โดยเนื้อหาของประกาศที่ว่าก็เกี่ยวกับไลน์อัพในอนาคตของทางค่าย ที่จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างรถที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่นการนำระบบไฟฟ้ามาใช้ในรถรุ่นใหม่ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการนำมาใช้เพื่อช่วยในเรื่องของการปล่อยมลพิษ ช่วยเรื่องอัตราการสิ้นเปลือง รวมถึงสมรรถนะที่สูงขึ้น ที่เป็นไปตามกระแสนิยมพาหนะพลังงานสะอาดทั่วโลก(รวมถึงข้อกำหนดทางกฎหมายด้านมลพิษในหลายประเทศที่เข้มงวดขึ้น) โดยจะเริ่มแผนงานที่ว่าในตลาดขนาดใหญ่ที่มีข้อกำหนดทางกฎหมายเข้มงวดก่อนเช่น ญี่ปุ่น, อเมริกาเหนือ, ยุโรป ซึ่งไทยก็อาจจะอยู่ในนั้นด้วย แผนการขั้นแรกสุดของ Kawasaki ก็คือทางค่ายจะทำการเปิดตัวรถใหม่ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าล้วน หรือรถที่ใช่ระบบไฮบริดผสมไฟฟ้าและน้ำมัน จำนวน 10 รุ่น ภายในปี 2025 ก่อนที่จะทยอย เปิดตัวรถประเภทนี้มากขึ้น จนกว่ารถทุกรุ่นที่มีอยู่ในไลน์อัพหลักจะเป็นระบบไฟฟ้าล้วน หรือระบบไฮบริดภายในปี 2035 ซึ่งตรงกับเวลาที่หลายประเทศทั่วโลกตัดสินใจเปลี่ยนไปเน้นพลังงานสะอาดเต็มตัว ตอนนี้บางคนอาจจะสังเกตุหรือสงสัยขึ้นมาเล็กน้อยแล้วว่า…
ประเทศไทยถูกแบน จากการเป็นเจ้าภาพกีฬาระดับภูมิภาค และระดับนานาชาติหรอ? มันเกิดขึ้นจากอะไร และจะมีผลอย่างไรกับนักกีฬาชาวไทยที่แข่งขันในเวทีโลก แล้วมีผลกับกีฬาความเร็วอย่าง MotoGP หรือ F1 ด้วยไหม? เหตุการณ์การถูกแบนของประเทศไทยในครั้งนี้ก็เริ่มมาจาก องค์กรต่อต้านสารต้องห้ามโลก หรือ World Anti-Doping Agency (WADA) ซึ่งเป็นองกรณ์การกีฬาในระดับนานาชาติได้ออกมาประกาศว่าประเทศไทย(รวมถึงอินโดนีเซีย และเกาหลีเหนือ) ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของ WADA ที่ระบุว่าหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้สารต้องห้ามในนักกีฬานั้นต้องเป็นหน่วยงานอิสระจากรัฐบาล ซึ่งกรณีของประเทศไทยองค์กรดังกล่าวอยู่ภายใต้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา(ส่วนอีก 2 ประเทศถูกแบนด้วยข้อหาใช้ระบบตรวจสอบที่ไม่ได้มาตรฐาน) โดยสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ก็คือ 1. ประเทศไทยจะไม่สามารถเป็นเจ้าภาพในการจัดแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติได้ ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันระดับโลก หรือระดับทวีป 2. คณะกรรมการด้านกีฬาของประเทศไทยจะต้องออกจากตำแหน่งคณะกรรมการของ WADA เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 1 ปี หรือจนกว่าจะแก้ไขปัญหาที่ว่าได้ 3. นักกีฬาสัญชาติไทยจะไม่สามารถใช้ธงของประเทศไทยในการลงแข่งขันได้ หรือก็คือจะต้องใช้ธงของสมาคมกีฬาที่ตัวเองสังกัดอยู่แทน นั่นแปลว่าสถิติหรือเหรียญใดก็ตามที่นักกีฬาไทยทำได้ในช่วงนี้ จะไม่ถูกนับรวมเข้ากับเหรียญรวมของประเทศไทย แล้วรายการแข่งรถอย่าง ThaiGP จะสามารถจัดได้ไหม? หรือนักแข่งคนไทยหนึ่งเดียวในรายการอย่าง “ก้อง สมเกียรติ จันทรา” จะเป็นอย่างไรนั้นก็ต้องรอสรุปอย่างเป็นทางการจากทาง…
กล้องติดรถ เรดาร์ เซนเซอร์อะไรต่อมิอะไรที่ถูกโถมเข้าใส่รถยนต์ในยุคนี้ จนแทบจะทำให้รถที่เราขับฉลาดและมีหูตารอบตัวมากกว่าเราในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จนตอนนี้เราก็เริ่มที่จะเห็นบางส่วนของเทคโนโลยีดังกล่าว โผล่มาอยู่บนรถมอเตอร์ไซค์กันบ้างแล้ว เช่นรถบบเรดาร์ที่ถูกติดตั้งในรถประเภททัวริ่ง ถึงแม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นของต้องมีสักเท่าไร หากเทียบกับรถยนต์ที่เน้นของเล่นเยอะไว้ก่อน แต่ของจำเป็นอีกอย่างที่เรายังไม่ค่อยเห็นมันถูกติดตั้งลงในรถจักรยานยนต์จากโรงงานก็คงเป็น “กล้องติดรถ” ที่น่าจะเป็นของที่มีประโยชน์และจำเป็นกับการขับขี่ในยุคสมัยนี้มากขึ้นไปทุกวัน แต่ล่าสุด ค่ายปีกนก Honda ที่ขยันจดสิทธิบัตรของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็ได้แสดงให้เราเห็นแล้วว่าพวกเขากำลังพัฒนามันอยู่ นั่นก็คือ “กล้องติดรถแบบฝังในโคมไฟหน้า” ประโยชน์ของมันก็คงไม่ต้องให้อธิบายอะไรมาก เพราะมันเป็นกล้อง(หลายเลข 26 และ 17) ที่น่าจะทำได้ทุกอย่างแบบที่กล้องติดรถควรทำได้ และถ้านำกล้องมาติดไว้ที่ด้านหน้าจำนวน 2 ตัวในระนาบเดียวกันและห่างกันเล็กน้อยเหมือนกับดวงตาแล้ว มันก็จะสามารถใช้วัดระยะได้แบบเดียวกับเรดาร์ และถ้าข้อมูลภาพที่ได้มาถูกนำไปประมวลผลใน CPU ด้วย AI มันก็จะสามารถอ่านป้ายบอกทางและการจำกัดความเร็วได้อีกด้วย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เรดาร์วัดระยะไม่สามารถทำได้ ข้อดีอีกอย่างคือขนาดที่เล็กมาก หากถูกนำไปเทียบกับเรดาร์หน้ารถแบบที่เราเห็นกันในรถยนต์หรือมอเตอร์ไซค์ เพราะปัญหาด้านการดีไซด์ตัวรถยุคนี้ที่เราเห็นคือ มันจะต้องมีที่สำหรับติดตั้งเรดาร์สี่เหลี่ยมสีดำหน้าตาประหลาดที่ดูไม่เข้ากับงานออกแบบส่วนไหนของรถเลย การใช้กล้องที่ติดตั้งไว้ในโคมไฟก็น่าจะเป็นทางออกของปัญหานี้ที่ดี แต่ก็ใช่ว่าระบบนี้มันจะดีไปหมดทุกอย่าง เนื่องจากว่าตัวกล้องนั้นประมวลผลด้วยข้อมูลภาพ นั่นจึงหมายความว่ามระบบที่เกี่ยวข้องนั้นจะไม่สามารถใช้งานได้หากกล้องมองไม่เห็น เช่น หมอกหนา หรือ ฝนตกหนัก ซึ่งก็นับว่าแพ้ข้อได้เปรียบของเรดาร์ที่จะตรวจจับเฉพาะวัตถุแข็งเป็นหลัก อ่านข่าวสาร…