หลังจากที่ก่อนหน้านี้เราได้เคยนำเสนอบทความ 5 สิ่งที่น่าสนใจของ BMW HP4 Race ซุปเปอร์ไบค์คันล่าสุดของทางค่ายใบพัดสีฟ้าไปแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะมีเพื่อนๆบางคนลองเอาไปเทียบกับ Ducati 1299 Panigale “Supperleggera” อีกหนึ่งเอ็กคลูซีฟไบค์จากค่ายแดงแดนมักกะโรนีว่าใครกันแน่ที่สุดกว่า
ดังนั้นเพื่อไม่ให้เพื่อนๆไปเสียเวลาเทียบกันให้ยุ่งยาก เราของรวมเอาจุดเด่นที่สำคัญๆของทั้ง 2 คันมาให้เพื่อนๆได้ทราบไปพร้อมๆกันเลยดีกว่า ว่าใครคือของจริง
โดยพื้นฐานแล้วของทั้งสองเอกคลูซีฟไบค์ยังใช้เครื่องยนต์ลูกเดียวกับตัวมาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็น HP4 ที่ใช้เครื่องลูกเดียวกับ S1000RR ส่วน 1299 Superleggera ก็ใช้ลูกเดียวกับ 1299 Panigale S แต่แน่นอนว่าทั้งคู่ก็ได้รับการปรับปรุงชิ้นส่วนภายในอยู่หลายจุดด้วยกันจนสามารถเบ่งพลังได้เยอะกว่าเดิมนั่นก็คือ
BMW HP4 Race : แรงม้าสูงสุด 212 Bhp ที่ 13,900 รอบ/นาที และ แรงบิด 120 นิวตันเมตร ที่ 10,000 รอบ/นาที
Ducati 1299 Superleggera : แรงม้าสูงสุด 215 Bhp ที่ 11,000 รอบ/นาที และ แรงบิด 146.5 นิวตันเมตร ที่ 9,000 รอบ/นาที
น่าเสียดายที่รายละเอียดการปรับปรุงเครื่องยนต์ของทางฝั่งค่ายแดงนั้น ไม่ได้มีข้อมูลใดๆระบุไว้ แต่ในทางฝั่งของค่ายใบพัดสีฟ้านั้นให้มาครบถ้วนเลยทีเดียว ซึ่งเพื่อนๆสามารถคลิกเข้าไปอ่านในลิ้ง 5 จุดเด่นที่เราให้ไว้ด้านบนได้เลยครับผม
กลับมาที่เรื่องของแรงม้า/แรงบิดอีกครั้ง จะเห็นได้ว่า ซุปเปอร์เล็กนั้นมีแรงม้าเยอะกว่านิดหน่อย แต่ในเรื่องของแรงบิดนั้นกลับสูงลิบลิ่วแถมมาด้วยรอบที่ต่ำกว่าพอสมควร ซึ่งเป็นจุดเด่นของเครื่องยนต์ 2 สูบ L-Twin ของทาง Ducati อยู่แล้ว ในเรื่องของความดุดัน และความกระฉับกระเฉงของอัตราเร่งโดยรวม
แต่ถ้าหากใครเป็นสายลากรอบล่ะก็ ผมเชื่อว่าจะต้องติดใจกับรอบเครื่องยนต์ที่ทาง BMW ล็อคค่าไว้สูงถึง 14,500 รอบ/นาทีเลยทีเดียว แถมช่องว่างของแรงม้าและแรงบิดสูงสุดก็กว้างถึง 3,900 รอบ ซึ่งแน่นอนว่ามันส์มือกับการรีดเค้นเครื่องยนต์กันแน่นอนถ้าหากได้ลองบิดฉลามบุกคันนี้
ในเมื่อเปิดตัวโดยอ้างอิงความเป็นเอ็กคลูซีฟไบค์ด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้นแบรนด์ของระบบกันสะเทือนคงไม่ใช้ใครที่ไหน ต้องเป็น Ohlins แบรนด์ชั้นนำจากสวีเดนรายนี้เท่านั้น โดยในส่วนของโช้กหลังเป็นรุ่นที่มีชื่อว่า TTX36 เหมือนกันทั้งคู่ แต่อาจจะมีรายละเอียดแตกต่างกันเล็กน้อยคือ ซุปเปอร์เล็ก ใช้สปริงทำจากวัสดุไทเทเนียมเพื่อรีดน้ำหนัก แต่ ฉลามบุก เป็นโช้กตัวเดียวกับที่ใช้ในตัวแข่ง WSBK
ด้านโช้กหน้าถือว่าแตกต่างในเรื่องของความน่าเกรงขามพอสมควร เพราะตัว HP4 เลือกใช้โช้กหน้ารุ่น FGR300 ที่มีจุดเด่นคือซัพแทงค์แก๊สแยก ซึ่งแน่นอนว่ามันคือตัวเดียวกับที่ใช้ในการแข่งขัน WSBK เช่นกัน แต่ทางฝั่ง Superleggera นั้นเลือกใช้รุ่น FL 936 ที่ดูจะเหมาะกับการใช้บนท้องถนนปกติมากกว่า แต่แน่นอนว่าไส้ในก็ได้รับการรีดน้ำหนักด้วยการเปลี่ยนวัสดุในการผลิตเหมือนกับโช้กหลัง (เรื่องของฟังก์ชั่นการปรับตั้งต่างๆคงไม่ต้องพูดถึงนะครับ เพราะโช้กระดับนี้ปรับได้ทุกอย่างอยู่แล้ว)
แน่นอนครับว่าแบรนด์ที่ได้รับเลือกในเรื่องของระบบห้ามล้อก็คงหนีไม่พ้น Brembo เช่นเดิม โดยเราจะเริ่มกันที่ฝั่งของ Ducati กันบ้าง ในส่วนของชุดหน้า ปั๊มบนใช้รุ่น MCS 19-21 (มีฟังก์ชั่นปรับอัตราส่วนกำลังอัด) ทำงานร่วมกับปั๊มล่าง โมโนบล็อค 4 พอร์ทรุ่น M50 Evo และจานเบรก Semi-Floating คู่ขนาด 330 มิลลิเมตร ส่วนปั๊มหลังไม่ได้มีข้อมูลระบุไว้ว่าเป็นรุ่นใดของผู้ผลิต
ในขณะที่ HP4 ยังคงจัดเต็มเพื่อให้สมกับชื่อต่อท้ายที่เขียนว่า “Race” เริ่มจากปั๊มบนรุ่น RCS19x18 ทำงานร่วมกับปั๊มล่าง GP4-RR และจานเบรก T-Floating (Full-Floating) คู่ขนาด 320 มิลลิเมตร ซึ่งทั้งหมดคือสเปคเดียวกันกับที่ใช้ในตัวแข่ง WSBK ทั้งหมด แม้กระทั่งปั๊มหลังก็ยังเป็นรุ่น Racing 4 พอร์ท ลูกสูบไทเทเนียมแท้ๆ
มาถึงจุดเด่นที่ทั้งสองค่ายต่างเน้นย้ำในทุกครั้งที่เปิดตัวรถทั้ง 2 รุ่นนี้กันบ้าง นั่นก็คือโครงหลักหรือแชสซีย์ตัวรถที่ผลิตด้วยคาร์บอนโมโนค็อกด้วยกันทั้งคู่ แต่ในส่วนของ HP4 มีข้อแตกต่างเล็กน้อยคือสามารถปรับองศาแผงคอและระยะห่างแนวระนาบสวิงอาร์มหลังได้ด้วย
ไหนๆก็พูดถึงสวิงอาร์มหลังแล้ว ก็ต้องบอกเพิ่มเติมอีกอย่างว่าด้านซุปเปอร์เล็กนั้นยังคงสะดุดตาด้วยสวิงอาร์มแขนเดี่ยวเช่นเคย แต่มาเหนือด้วยวัสดุคาร์บอนแท้ทั้งชิ้น ซึ่งแน่นอนว่ายังไม่มีรถโปรดักชั่นคันไหนทำมาก่อน ส่วน HP4 ยังคงเป็นแบบอลูมิเนียมแต่มีรูปทรง/น้ำหนัก และความแข็งแรงเทียบเท่ากับตัวแข่ง WSBK
ส่วนชุดล้อหน้า/หลังเป็นแบบคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาเหมือนกันทั้งคู่เช่นเคย ทำให้น้ำหนักโดยรวมพร้อมของเหลวของซุปเปอร์เล็กอยู่ที่ 167 กิโลกรัม ส่วนฉลามบุกอยู่ที่ 171 กิโลกรัม (แต่หน้าแปลกที่น้ำหนักแห้งไม่รวมของเหลวของ BMW กลับเบากว่าคือ 146 กิโลกรัม ส่วน Ducati อยู่ที่ 156 กิโลกรัม ซึ่งเกี่ยวข้องกับปริมาตรของเหลวที่ต้องใช้ในรถแต่ละคันนั่นเอง)
ในทางฝั่งของซุปเปอร์เล็กยังคงให้ฟังก์ชั่นหลายๆอย่างคล้ายกับ 1299 Panigale S ทั้ง Riding Modes, Power Modes, ABS Cornering, Ducati Traction Control และอื่นๆอีกมามายที่ซุปเปอร์ไบค์ในปัจจุบันต้องมี (แต่บางอย่างก็ล้ำชาวบ้านมาเยอะอยู่เหมือนกัน)
คราวนี้ถึงตาของฉลามบุกกันบ้าง แน่นอนว่าในเมื่อทางค่ายเลือกชูจุดเด่นที่ความเป็นตัวแข่ง ดังนั้นฟังก์ชั่นต่างๆจึงมาในรูปแบบที่เอื้อต่อการแข่งขันเต็มขั้นเช่น ระบบจำกัดความเร็วในพิทเลน, และระบบควบคุมอื่นๆที่ซุปเปอร์ไบค์ควรมี แต่ (แต่เยอะจัง) ความละเอียดในการเซ็ทอัพของเจ้านี่นั้น สามารถปรับค่าได้แบบเกียร์ต่อเกียร์เลยทีเดียว (เกียร์นึงก็ใช้ค่านึง เปลี่ยนเกียร์ก็เป็นอีกค่านึง) ซึ่งถือว่าล้ำที่สุดแล้วในตอนนี้
สำหรับราคาตั้งขายแบบไม่รวมภาษีของ Ducati 1299 Supperleggera นั้นตั้งไว้ที่ 72,000 ยูโร หรือราวๆ 3,164,500 บาท (ราคาขายในไทยจริงๆ 5.7 ล้านบาท) และผลิตด้วยจำนวนจำกัด 500 คันทั่วโลก ส่วน BMW HP4 Race มาด้วยราคาต่ำกว่าหน่อยคือ 68,000 ยูโร หรือราวๆ 3 ล้านบาท และผลิตด้วยจำนวนจำกัด 750 คันทั่วโลก
จากตัวเลขราคาดูเหมือนว่า HP4 จะดูคุ้มค่ามากกว่าเมื่อเทียบกับออพชั่นที่ให้มา แต่อย่าลืมนะครับว่าเจ้า “ฉลามบุก” ตัวนี้เอาไปใช้บนถนนหลวงไม่ได้ ดังนั้น ”ซุปเปอร์เล็ก” ที่สามารถเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันดูจะคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่หารด้วยระยะเวลาการใช้งานมากกว่า (เว้นแต่ว่าเพื่อนๆจะขับในสนามมากกว่าเดินทางไปกลับที่ทำงานล่ะก็นะ)
อ่านข่าว Ducati เพิ่มเติมได้ที่นี่
อ่านข่าว BMW เพิ่มเติมได้ที่นี่
เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ MotoRival ของเราครับ