BMW S1000RR รถมอเตอร์ไซค์ซุปเปอร์ไบค์ตัวแรงตัวสุด ที่เป็นอีกหนึ่งไอคอนของวงการรถมอเตอร์ไซค์ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา กับภาพลักษณ์ไฟหน้าตาเข และช่องระบายอากาศทรงเหงือกฉลาม มันคือรถที่ปฏิวัติแนวทางของตัวค่ายเอง และแนวทางของรถมอเตอร์ไซค์สปอร์ตสายสนามทุกรุ่นที่เกิดขึ้นมาหลังจากมัน ที่มาของมันเป็นแบบไหน? ไปดูกัน
ซึ่งเจ้าฉลามคันนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นรถซุปเปอร์ไบค์ของ BMW สำหรับใช้ในการแข่งขัน WSBK เพื่อสร้างภาพลักษณ์แนวสปอร์ตให้กับทางค่าย นอกจากภาพลักษณ์ดั้งเดิมที่มักมีแต่รถแนวแอดเวนเจอร์หรือทัวริ่ง S1000RR โฉมแรกนั้นถูกเปิดตัวในปี 2008 มาพร้อมกับเครื่องยนต์แบบระบายความร้อนด้วยน้ำ 4 สูบเรียง ปริมาตรกระบอกสูบ 999 ซีซี ตามกติกาของรายการที่มันต้องลงแข่ง ให้พละกำลังสูงสุดกว่า 193 Hp
เอกลักษณ์ของมันก็หนีไม่พื้นเรื่องรูปลักษณ์ที่ไม่สมมาตร ที่ไฟหน้าทั้งสองดวงนั้นมีรูปทรงที่ต่างกัน รวมถึงช่องระบายอากาศด้านข้างตัวรถก็ต่างกันด้วย โดยช่องฝั่งขวานั้นจะมีรูปทรงคล้ายกับเหงือกฉลาม ทำให้มันกลายเป็นฉายาที่ติดหูของรถรุ่นนี้ในเวลาต่อมา แถมมันยังเป็นผู้ริเริ่มติดตั้งตัวช่วยอิเล็กทรอนิกส์อย่าง ABS และ TCS ให้กับรถสปอร์ตสายสนาม จนค่ายอื่นต้องทำตามบ้างในเวลาต่อมา
ตัวรถได้รับการปรับสเปคเล็กน้อยในปี 2011 ส่วนใหญ่เป็นความเปลี่ยนแปลงรายละเอียดภายในเครื่องยนต์ ความแตกต่างภายนอกที่เห็นได้ชัดที่สุดคือเหงือกฉลามที่มีหน้าตาเปลี่ยนไป แต่ความเปลี่ยนแปลงสำคัญนั้นจะอยู่ที่ปี 2012 ที่มีการเปิดตัวรุ่นย่อยระดับท็อปอย่าง S1000RR HP4 ที่มาพร้อมชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์รอบคัน ชุดสีใหม่ และที่สำคัญคือระบบกันสะเทือนปรับไฟฟ้าอัตโนมัติ ทำให้รุ่นย่อยนี้กลายเป็นตัวสุดสายสนามในเวลานั้น
การปรับโฉมครั้งใหญ่และครั้งสำคัญก็มีขึ้นในปี 2014 ถือเป็นการปรับโฉมที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็น All New เครื่องยนต์ได้รับการอัพเกรดครั้งใหญ่จนสร้างพละกำลังได้ถึง 198 Hp รวมถึงชุดเฟรม ระบบกันสะเทือน และแฟริ่งรอบคันที่เปลี่ยนใหม่หมดจด แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งไฟหน้าตาเข และเหงือกฉลาม ระบบอิเล็กทรอนิกส์หลายอย่างก็ได้รับการพัฒนาไปตามกาลเวลา แถมยังมาพร้อมอ็อพชั่นเสริมโช้คไฟฟ้าแบบ HP4 อีกต่างหาก
ต่อมาในปี 2016 ก็มีการเพิ่มรุ่นพิเศษสำหรับใช้ในสนามแข่งโดยเฉพาะอย่าง S1000RR HP4 Race ที่จะผลิตในจำนวนจำกัดเพียงแค่ 750 คัน โดยแต่ละคันจะมาพร้อมกับชุดเฟรมและซัพเฟรมที่ทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ แฟริ่งรอบคันที่ก็เป็นคาร์บอนด้วยเช่นกัน ชุดล้อฟอร์จน้ำหนักเบา ระบบกันสะเทือนจาก Ohlins ระบบเบรกจาก Brembo, ท่อไอเสียฟูลซิสเตมจาก Akrapovic กับพละกำลังสูงสุดที่มากถึง 215 Hp
และในที่สุดก็ถึงเวลาสำหรับการปรับโฉมแบบใหม่หมดจดในปี 2018 เครื่องยนต์ก็เป็นลูกใหม่ที่สามาร้างพละกำลังได้มากถึง 204 Hp มีไฮไลท์เป็นระบบวาล์วแปรผัน ShiftCam ที่สามารถปรับจังหวะการเปิด-ปิดวาล์วไอดี เพื่อให้เครื่องยนต์สามารถสร้างพละกำลังได้ดีทั้งในรอบต่ำและรอบสูง
แต่ในส่วนของหน้าตานั้นอาจจะขัดใจแฟนคลับรถรุ่นนี้อยู่ไม่น้อย เพราะตอนนี้รูปลักษณ์ภายนอกของมันนั้นมีความสมมาตรเป็นที่เรียบร้อย ทั้งไฟหน้าและช่องระบายความร้อน ระบบไฟส่องสว่างรอบคันแบบ LED มีการติดตั้งหน้าจอแสดงผลแบบสี TFT มีน้ำหนักตัวรถแบบรวมของเหลวเพียงแค่ 197 กิโลกรัม
ก้าวสำคัญครั้งถัดมาก็เกิดขึ้นในปี 2020 เมื่อมีการเปิดตัว M1000RR ซึ่งเป็นรถมอเตอร์ไซค์คันแรกที่พัฒนาโดยแผนก M ที่สร้างรถยนต์ตัวแรงของค่าย เครื่องยนต์ถูกจูนให้แรงขึ้นเป็น 212 Hp แฟริ่งรอบคันทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ ชุดล้อคาร์บอนไฟเบอร์ และที่สำคัญคือมีการติดตั้งชุดปีก Winglet แบบตัวแข่ง MotoGP ที่ช่วยสร้างแรงกดที่ล้อหน้าได้อีกด้วย
การอัพเกรดครั้งถัดมามีขึ้นในปี 2022 ที่จะมีขึ้นกับทั้ง S1000RR และ M1000RR โดยรถรุ่นมาตรฐานนั้นจะได้รับการปรับปรุงชิ้นส่วนภายใน รวมถึงมีการติดตั้งชุดปีกเช่นเดียวกับ M1000RR ในโฉมก่อน ทางด้านของตัวแรงรุ่นใหม่เองก็จะได้รับการอัพเกรดที่เหนือกว่าขึ้นไปอีกขั้น รูปลักษณ์ภายนอกเริ่มแตกต่างจากรุ่นมาตรฐานอย่างชัดเจน มีความมนเหมือนรถแข่งมากขึ้น และมีปีกที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม สร้างแรงกดได้มากกว่าเดิม
และล่าสุดในปี 2024 พวกเขาก็ได้ทำการอัพเกรดรถทั้งสองรุ่นอีกครั้ง ซึ่งรูปแบบการอัพเกรดก็จะคล้ายกับในครั้งที่แล้วคือ S1000RR จะได้รับปีกและเทคโนโลยีบางอย่างที่คล้ายกับ M1000RR ในโฉมเก่า ส่วนตัวแรง M1000RR โฉมล่าสุดก็จะได้รับการอัพเกรดหนีไปอีกขั้น ในส่วนของพละกำลังสูงสุดนั้นก็พุ่งขึ้นไปอยู่ที่ 210 Hp ในรุ่นมาตรฐาน และ 218 Hp ในรุ่นท็อป กลายเป็นรถมอเตอร์ไซค์สายถนนที่แรงที่สุดที่ BMW เคยสร้างมา
อ่านข่าวสาร BMW เพิ่มเติมได้ที่นี่
อ่าน Bike History เพิ่มเติมได้ที่นี่