ปัญหามลพิษในอากาศ เป็นปัญหาใหญ่ที่พวกเราทุกคนน่าจะรับรู้และเข้าใจกันดี และต่อให้ไม่ได้พูดไกลไปจนถึงปัญหาความเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ พวกเราก็น่าจะเคยเจอปัญหาฝุ่นควันที่เกิดจากรถยนต์ดีเซล หรือมอเตอร์ไซค์ที่ใช้เครื่องยนต์แบบ 2 จังหวะ ที่ปล่อยควันดำกลิ่นเหม็นในทุกที่ที่รถเหล่านั้นวิ่งผ่าน จนส่งผลกระทบกับคนที่มีปัญหาทางเดินหายใจ
และถึงแม้ว่าหลายครั้งปัญหามลพิษจะเห็นได้ชัดเจนที่สุดกับเหล่ารถซิ่ง ที่จูนรถแบบไม่เห็นใจเพื่อนร่วมชั้นบรรยากาศ แต่ปัญหาส่วนใหญ่ที่สร้างผลกระทบในวงกว้างกลับเป็นรถของประชาชนคนทั่ว ที่เก่าและมีมาตรฐานไอเสียที่แย่ รถพวกนี้สร้างผลกระทบในภาพใหญ่มากที่สุด เนื่องจากเป็นกลุ่มของรถที่มีจำนวนมากบนท้องถนน ยิ่งเป็นประเทศที่มีรายได้น้อย ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่ประชาชนจะลากใช้งานรถคันเดิมนานขึ้นไปอีก
แต่ถึงอย่างนั้น รัฐบาลกลับไม่สามารถสั่งห้ามการใช้งานรถเหล่านั้นได้ เนื่องจากเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคลที่ได้มาอย่างถูกกฎหมาย ทำได้เต็มที่ก็แค่กำหนดมาตรฐานไอเสียที่เข้มงวดมากขึ้น ให้กับรถรุ่นใหม่ บางประเทศก็เลือกเพิ่มภาษีรายปีกับรถเก่า เพื่อส่งเสริมให้คนเปลี่ยนรถใหม่บ่อยขึ้น แน่นอนว่ามาตรการแบบนี้มักถูกมองว่าสร้างภาระให้กับผู้มีรายได้น้อย
และปัญหาที่ว่านี้ก็เกิดขึ้นกับประเทศที่มีสังคมเมืองแออัดอย่างสิงคโปร์เช่นกัน แต่พวกเขาก็เลือกใช้วิธีแบบประเทศมีเงิน ในการแก้ปัญหารถเก่าที่สร้างมลพิษบนท้องถนน โดยการออกมาตรการชักจูงผู้ที่เป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์ ที่จดทะเบียนก่อนวันที่ 1 กรกฎาคม 2003 ให้ถอนการจดทะเบียนรถของตัวเอง เพื่อแลกกับเงินอุดหนุนที่อาจมีมูลค่าสูงถึง 3500 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 91,000 บาท ขึ้นอยู่กับอายุ
ซึ่งดูเหมือนว่านโยบายนี้จะได้รับการตอบรับอย่างดี เนื่องจากในปัจจุบันมีรถจักรยานยนต์ที่เข้าเกณฑ์นี้มากขึ้น 27,000 คัน และรถมีมากถึง 24,500 คัน ที่ลงชื่อถอดการจดทะเบียนโดยสมัครใจ เพื่อแลกกับเงินก้อนนี้
แต่คนที่เก็บสะสมรถมอเตอร์ไซค์คลาสสิก หรือมีรถจักรยานยนต์ที่มีความผูกพันก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะทางรัฐบาลสิงคโปร์ยังเปิดรับลงทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์คลาสสิก สำหรับคนที่ครอบครองมอเตอร์ไซค์รุ่นเก่าเป็นของสะสม แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องใช้รถไม่เกินปีละ 45 วัน แปลว่าไม่ว่าเราจะยอมถอนการจดทะเบียนหรือไม่ ก็จะต้องถูกบังคับให้จำกัดการใช้รถอยู่ดี
แน่นอนว่าการออกนโยบายแบบนี้ น่าจะสามารถช่วยกำจัดรถจักรยานยนต์อายุมากให้ออกไปจากถนนได้เป็นอย่างดี แต่วิธีนี้น่าจะทำได้แค่ในสิงค์โปร์ ที่มีเงินมากอยู่แล้ว และจำนวนรถบนถนนไม่ได้มีมากแบบประเทศไทย จึงน่าจะเป็นเรื่องยากพอสมควรหากรัฐบาลของประเทศไทยต้องการแก้ปัญหาเหล่านี้แบบทันทีทันใด
ที่มา rideapart
อ่านข่าวสารมอเตอร์ไซค์ล่าสุดได้ที่นี่
