เมื่อวันที่ 23 ที่ผ่านมา ทาง Cavallino Motors ได้จัดงานฉลองครบรอบ 70 ปี Ferrari พร้อมเปิดตัวรถ LaFerrari Aperta ซึ่งนับได้ว่าเป็นที่สุดของม้าลำพองแล้ว
ไม่ใช่แค่สมรรถนะที่เป็นสุดยอดเพียงอย่างเดียว แต่การจะครอบครองรถได้นั้น ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย แม้คุณรวยแค่ไหนมาก็ตาม
LaFerrari Aperta เป็นรถที่ผลิตขึ้นมาพิเศษเพียงแค่ 209 คัน เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปี ของ แบรนด์ Supercar ม้าลำพองในฝันของใครหลายๆคน
LaFerrari Aperta คันนี้มีมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท แต่ทว่ามีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้ เพราะผู้ที่จะได้รับสิทธิให้ซื้อได้นั้น คุณต้องมี Ferrari รุ่น Limited Edition อย่างน้อย 5 คัน และซื้อ Ferrari รุ่นธรรมดาใช้ทุกๆ 2 ปี
ความล้ำหน้าทางด้านเทคโนโลยี สมรรถนะอันเหนือชั้น สไตล์อันโดนเด่น และ ความเป็นเอกลักษณ์ สิ่งเหล่านี้คือนิยามของความเป็นเฟอร์รารี่ ซึ่งได้ถูกสะท้อนขึ้นอย่างชัดเจนในรถรุ่นใหม่ที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองการครบรอบ 70 ปีของบริษัท ด้วยการออกแบบที่มุ่งเน้นไปที่แฟนพันธ์แท้ของเฟอร์รารี่ รถ LaFerrari Aperta ซึ่งก็คือรุ่นเปิดประทุนของซูเปอร์คาร์ LaFerrari ที่ผลิตออกมาในรุ่นพิเศษจำนวนจำกัด
หลังคามีทั้งแบบ carbon fiber (ออปชั่น) และผ้าใบ โดยที่ LaFerrari Aperta นั้นมีข้อมูลจำเพาะและลักษณะเช่นเดียวกับ LaFerrari ด้วยการรวบรวมสมรรถนะอันเหนือชั้นเข้ากับความสุนทรีย์แห่งการขับขี่แบบเปิดประทุน รถได้ถูกติดตั้งระบบ hybrid เดียวกันกับรุ่นคูเป้ ประกอบไปด้วย เครื่องยนต์ V12 ขนาดความจุ 6,262 ซีซี ผลิตกำลังได้ถึง 800แรงม้า (128แรงม้า/ลิตร และอัตราส่วนกำลังอัดที13.5:1) และ มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด120kW ที่ทำให้รถมีกำลังรวมถึง 963แรงม้า ซอฟท์แวร์ควบคุมระบบเครื่องยนต์ได้ถูกปรับปรุงใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม โดยใช้ประสบการณ์ที่วิศวกรของมาราเนลโลได้จาก LaFerrari ในส่วนของระบบ dynamic control ต่างๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบ active aerodynamics ของรถนั้นมิได้ถูกเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
ความท้าทายในการออกแบบรถ LaFerrari Aperta ที่ใหญ่หลวงที่สุดก็คือการทำให้รถเปิดประทุนนั้นสามารถไปให้ถึงขีดสุดได้เท่ากับรุ่นคูเป้ คำสั่งที่ Styling Centre ได้รับคือต้องเก็บความเป็น LaFerrari ของรถรุ่นแรกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เส้นสายที่แบ่งส่วนของห้องโดยสารจากตัวรถนั้นมิได้ถูกเปลี่ยนแปลง โดยที่บริเวนด้านบนมีการปรับเพียงเล็กน้อย
ทีมพัฒนาได้มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงระบบ chassis และ aerodynamic โดยได้ผลที่น่าทึ่ง La Ferrari Aperta นั้นมีความเร็วสูงสุดที่ 350กม/ชม เหมือนกัน และสามารถเร่งความเร็วจาก 0-100กม/ชม ในเวลาต่ำกว่า 3 วินาที 0-200กม/ชม ใน 7.1 วินาที ตัวรถและเสาต่างๆนั้นมีความแข็งแกร่งเทียบเท่าเช่นกัน รวมไปถึงเรื่อง aerodynamic ด้วย การปรับค่า aerodynamic setup นั้นช่วยให้มั่นใจได้ว่าเมื่อขับขี่โดยเปิดหลังคาและยกกระจกขึ้น จะไม่มีผลของอาการต้านลมเกิดขึ้นเมื่อเทียบกับรุ่นคูเป้
มีการให้ความสำคัญกับการขับขี่แบบเปิดประทุน ความแรงของรถรุ่นคูเป้นั้น จะถูกทำให้รู้สึกว่าแรงยิ่งขึ้นไปอีกด้วยการขับแบบเปิดประทุนใน LaFerrari Aperta การไม่มีหลังคานั้นมอบประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นเร้าใจในขณะที่ระบบเครื่องยนต์ hybrid นั้นแผดเสียงอันน่าเร้าใจ ในขณะเดียวกัน ระบบ wind-stop นั้นก็จะช่วยในเรื่องของ aerodynamic และความเงียบในห้องโดยสาร ทำให้ผู้ขับและผู้โดยสารสามารถพูดคุยกันได้รู้เรื่องเมื่อใช้ความเร็วสูง
ระบบเครื่องยนต์ของ LaFerrari Aperta นั่นเป็นชุดเดียวกันกับ LaFerrari และใช้เทคโนโลยี hybrid โดยจับคู่เครื่อง V12 ความจุ 6,262 ซีซี 800 แรงม้า เข้ากับ มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 120kW (163 แรงม้า) รวมเป็น 963 แรงม้า และด้วยระบบ HY-KERS นี้เป็นรถเฟอร์รารี่ที่มีสมรรถนะสูงสุดและมีประสิทธิภาพสูงสุดที่ถูกสร้างขึ้นมา
ประสบการณ์จากสนามแข่ง F1 ช่วยให้เฟอร์รารี่นำระบบ KERS มาใช้ในรถโปรดักชั่น เครื่องยนต์ V12 ทำงานควบคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างกลมกลืนและรวบรวมข้อดีของแต่ละแหล่งกำลังเข้าไว้ด้วยกัน แรงบิดมหาศาลของมอเตอร์ไฟฟ้าที่ได้จากรอบต่ำ ช่วยทำให้วิศวกรมุ่งเน้นไปที่การรีดสมรรถนะจากเครื่องV12 ที่รอบการทำงานสูงๆได้ เป็นผลให้สามารถสร้างกำลังได้ตลอดย่านการทำงานด้วยแรงบิดสูงถึง 900Nm
มอเตอร์นั้นถูกพ่วงเข้ากับเกียร์ F1 DCT และได้ถูกออกแบบมาโดยการใช้เทคโนโลยี High Specific Power Density ซึ่งทำให้วิศวกรสามารถลดน้ำหนักและขนาดของมันได้อย่างมากเมื่อเทียบกับแรงบิดที่ผลิตได้ ผลที่ได้รับก็คือสมรรถนะเทียบเท่ารถ F1 ด้วย torque density ที่ใกล้เคียงกัน (94%) หรือในอีกความหมายก็คือมีการสูญเสียกำลังที่น้อยมาก
แบตเตอร์รี่นั้นเป็นแบบ 120 cell แบ่งเป็น 8 โมดูล มีกำลังรวมเทียบเท่าแบตเตอร์รี่ 40 ก้อน แต่มีน้ำหนักเพียง 60 กก การชาร์จแบตเตอร์รี่ทำได้สองทาง อย่างแรกคือด้วยการเบรก ไม่ว่าจะเบรกอย่างรุนแรงจนระบบ ABS ทำงาน เหมือนเวลาขับอยู่ในสนามแข่ง และขณะที่เครื่องยนต์ V12นั้นผลิตแรงบิดมากกว่าที่ต้องการ เช่นขณะเข้าโค้ง ระบบ Hybrid Power Unit นั้นแท้จริงแล้วก็คือสมองของระบบ HY-KERS และคอยควบคุมการส่งกำลังจากทั้งเครื่อง V12 และ
มอเตอร์ไฟฟ้า ผ่าน inverter สองตัว และ หม้อแปลง DC-DC อีกสองตัว ระบบ Variable-frequency control ทำให้การส่งแรงบิดนั้นรวดเร็วและแม่นยำ มีการนำกำลังจากเครื่องยนต์สำรองมาใช้แทนไดชาร์จ ทำให้ช่วยลดน้ำหนักและขนาดโดยรวม
ขุมพลัง V12 6,262 ซีซี บล็อกนี้ เป็นเครื่องยนต์ที่ทรงพลังที่สุดที่เคยมีมาในรถเฟอร์รารี่ที่ผลิตออกขาย ด้วยกำลังสูงสุด 800แรงม้าแระรอบการทำงานสูงสุดที่ 9,250 rpm ที่สร้างประสบการณ์แห่งการขับขี่ที่ยากจะลืมเลือน โดยเฉพาะเสียงของเฟอร์รารี่ที่เร้าใจ ผลพวงของสิ่งต่างๆเหล่านี้มาจากการเค้นเอาประสิทธิภาพสูงสุดจากเครื่องยนต์
เพื่อที่จะเพิ่มประสิทธิภาพ volumetric efficiency เครื่องยนต์ V12 มีระบบท่าไอดีแบบปรับความยาวอัตโนมัติ ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในการแข่งขัน F1 ก่อนที่จะมีการห้ามใช้ในเวลาต่อมา โดยระบบจะช่วยให้มีกำลังสูงสุดในทุกย่านความเร็ว เช่นเดียวกัน การส่งกำลังและแรงบิดก็ได้ถูกปรับปรุงในทุกย่านความเร็ว ระบบ hybrid นี้สามารถผลิตแรงบิดได้มากถึง 900 Nm โดยแรงบิดจากมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกใช้ในรอบการทำงานต่ำ ในขณะที่กำลังและแรงบิดของเครื่อง V12 นั้นได้ถูกกำหนดให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในรอบสูง โดยแรงบิดสูงสุด 700 Nm ของเครื่อง V12 นั้นมาที่ 6,750 rpm
ระบบไอดีทั้งหมด เริ่มจากช่อง dynamic air intake บนซุ้มล้อ ไปจนถึงช่องไอดี ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการระบายความร้อนสูงสุด ตัวเครื่องยนต์นั้นมีอัตราส่วนกำลังอัดที่สูงถึง 13.5:1 เพื่อการเผาไหม้ที่หมดจด
เสียงของเครื่องยนต์นั้นมีผลมหาศาลต่ออารมณ์การขับขี่ การจูนอย่างละเอียดส่งผลให้เสียงเครื่องยนต์นั้นหนักแน่นและมีความไพเราะน่าหลงใหลกว่าเดิม ระบบท่อไอเสียแบบ equal length 6-1 ผลิตด้วยกรรมวิธี hydroform โดยการใช้ Inconel เช่นเดียวกับใน F1 เพื่อที่จะลดน้ำหนักในขณะที่ทนความร้อนได้สูงเป็นพิเศษ
เพื่อที่จะสามารถใช้อุปกรณ์ร่วมกันกับ LaFerrari คูเป้และมีสมรรถนะที่เหมือนกัน วิศวกรของ Ferrari ได้เน้นไปที่สองจุด นั่นก็คือระบบช่วงล่าง และ aerodynamics
ในส่วนของช่วงล่าง มีการปรับในส่วน lower section ที่จำเป็นต้องมีการเสริมความแข็งแรง เนื่องจากแรงกดต่างๆซึ่งในรถคูเป้จะไปเกิดที่ upper part
การถอดหลังคาออกทำให้จำเป็นต้องรื้อระบบประตูใหม่ Aperta นั้นมีประตูแบบ butterfly แบบเดียวกับ LaFerrari แต่เมื่อเปิดจนสุดแล้ว ประตูจะมีองศาที่ต่างกันเล็กน้อย เพื่อความปลอดภัยของรถเปิดประทุนคันนี้ ซึ่งมันก็ทำให้สัดส่วนของซุ้มล้อและด้านข้างของตัวรถนั้นถูกออกแบบใหม่ด้วยเช่นกัน แผ่น carbon fiber ที่มีช่อง aerodynamic vent ได้ถูกติดตั้งไว้ที่ประตู และมันได้กลายมาเป็นองค์ประกอบพิเศษของ Aperta ชิ้นหนึ่ง ที่มีเอกลักษณ์และไม่ทำให้ดีไซน์หลักของ LaFerrari เสียไปแม้แต่น้อย
ความท้าทายเชิง aerodynamic ที่วิศวกรจากมาราเนลโลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือการรักษาสมรรถนะอันร้อนแรงของรถรุ่นคูเป้เอาไว้ให้ได้ เป้าหมายของทีมพัฒนา LaFerrari Aperta นั้นก็คือการมีค่าสัมประสิทธิ์เสียดทาน ที่เท่ากับ LaFerrari ถึงแม้ว่าจะขับโดยเปิดหลังคาก็ตาม
เพื่อที่จะบริหารลมร้อนจากหม้อน้ำอย่างมีประสิทธิภาพผ่านฝากระโปรงหน้า องศาของการติดตั้งหม้อน้ำได้ถูกปรับเปลี่ยน ในรุ่นคูเป้นั้น หม้อน้ำนั้นถูกวางแบบเอียงไปด้านหน้าเพื่อให้แน่ใจว่าทางเดินของลมนั้นผ่านไปกับฝากระโปรง แต่ใน LaFerrari Aperta นั้น หม้อน้ำจะเอียงไปด้านหลัง เพื่อที่จะขับลมร้อนออกไปทางด้านใต้ตัวรถ ผลก็คือสามารถที่จะแยกอากาศร้อนไม่ให้เข้ามาในห้องโดยสารได้ทำให้ผู้โดยสารรู้สึกสบาย
การออกแบบหม้อน้ำใหม่ทำให้ต้องมีท่อลมจากด้านบนของกระจังหน้าผ่านฝากระโปรง โดยท่อจะช่วยเพิ่มแรงกดขึ้นอยู่กับลักษณะของลมที่ปะทะกับรถ
มากไปกว่านั้น การส่งอากาศร้อนไปที่ใต้ท้องรถนั้นหมายความว่าจำเป็นต้องออกแบบอุปกรณ์ vortex generator ของรถใหม่ด้วย ช่องดักอากาศด้านหน้ากว้างขึ้นในขณะที่พื้นที่ใต้ท้องรถช่วง vortex generator นั้นถูกทำให้ต่ำลง เพื่อเสริม ground effect และทำให้รถนั้นสามารถสร้าง downforce ได้พอเพียง
แพ็คเกจ aerodynamic นั้นจบที่แผ่นรูปตัว L ทั้งสองบนมุมกระจกบังลมหน้า ซึ่งเมื่อรถเปิดหลังคา จะช่วงสร้าง vortex ที่ทำงานร่วมกับลมที่ถูกจัดสรรไปยังแผง rear header rail ทำให้ลมพุ่งขึ้นเพื่อลดแรงเสียดทานอากาศบนด้านท้ายของรถ โดยระบบจะควบคุมให้แรงเสียดทานนี้ของรุ่นเปิดประทุนนั้นเท่ากับของคูเป้
ในส่วนของความสะดวกสบาย มีการคิดค้นนวัตกรรมชิ้นใหม่ โดยอากาศที่ผ่านเข้ามาในห้องโดยสารปกติด้วยความเร็วสูง จะถูกดักไว้โดยตัวดักลมที่ติดตั้งไว้ ตัวดักลมนี้จะปรับทิศทางลมไปยังตำแหน่งต่างๆภายในรถ ก่อนที่จะถูกขับออกด้วยความเร็วที่ช้ากว่า ในพื้นที่หลังผู้โดยสาร ทำให้มีความสะดวกสบายเทียบเท่ารถเปิดประทุนรุ่นอื่นๆของเฟอ์รารี่ โดยไม่ต้องเพิ่มแรงเสียดทานอากาศ
LaFerrari Aperta ยังคงการออกแบบชนิด avant-garde ของรุ่นคูเป้ ซึ่งเปรียบเสมือนจุดสุดยอดระหว่างแผนกวิศวกรรมและพัฒนารถยนต์ และ Ferrari Styling Center รูปทรงนั้นดูเหมือนการแกะสลักและมีความเป็น aerodynamic สูง บวกเข้ากับภาษากายที่ล้ำสมัย มิติที่ลื่นไหลนั้นสื่อให้เห็นถึงพละกำลังอันมหาศาล ในขณะที่ด้านหน้าทรง F1 และด้านท้ายที่บึกบึนแสดงให้เห็นถึงความสปอร์ตดุดันของรถคันนี้
เมื่อมองจากด้านข้าง LaFerrari Aperta มีจมูกที่แหลมและลาดลง รวมไปถึงฝากระโปรงหน้าที่ต่ำมาก ทำให้ซุ้มหน้านั้นเด่นออกมา ดีไซน์ของรถทำให้นึกย้อนกลับไปนึกถึงรถ sports prototype ในปลายยุค1960s อันเฟื่องฟูของเฟอร์รี่ อย่างเช่นรถ 330 P4 ซึ่งก็ได้ทำการผลิตทั้งรุ่นคูเป้หลังคาเปิดและหลังคาปิด รูปทรงของด้านหน้ารถกับซุ้มล้อก็ได้สัดส่วนในอุดมคติของเฟอร์รารี่เช่นกัน
องค์ประกอบการออกแบบที่สำคัญอีกอย่างก็คือวัสดุภายในที่เรียบง่าย มีการ highlight เพียงเล็กน้อย โดยเลือกใช้สีที่ตัดกันกับสีภายในหลัก อุปกรณ์ภายในได้ถูกออกแบบมาเพื่อเข้ากับวัสดุต่างๆ รวมไปถึงวัสดุหุ้มเบาะชนิดใหม่ประกอบไปด้วยหนังแท้และ Starlite Alcantara
HY-KERS system
แรงม้ารวมสูงสุด 963 แรงม้า
แรงบิดรวมสูงสุด >900 นิวตันเมตร
V12 แรงม้าสูงสุด* 800 แรงม้า @ 9000 rpm
รอบเครื่องสูงสุด 9250 rpm
V12 แรงบิดสูงสุด 700 นิวตันเมตร @ 6750 rpm
มอเตอร์ไฟฟ้า 120 กิโลวัตต์ (163 แรงม้า)
ค่าไอเสีย CO2 340 กรัม/กม.
สมรรถนะ
ความเร็วสูงสุดมากกว่า 350 กม./ชม.
0-100 กม./ชม. <3 วินาที
0-200 กม./ชม. <7 วินาที
0-300 กม./ชม. 15 วินาที
เครื่องยนต์สันดาปภายใน
แบบ 65-องศา V12
ช่วงชัก และ กระบอกสูบ 94 x 75.2มม
ความจุ 6262ซีซี
อัตราส่วนกำลังอัด 13.5:1
แรงม้าต่อลิตร 128 แรงม้า/ลิตร
มิติ
ยาว 4702 มม
กว้าง 1992 มม
สูง 1116 มม
ฐานหล้อ 2650 มม
กระจายน้ำหนัก 41% หน้า, 59% หลัง
ระบบส่งกำลัง
DCT 7 จังหวะ
ช่วงล่าง
หน้า ปีกนกคู่
หลัง มัลติลิงค์
ยาง (Pirelli P-Zero)
หน้า 265/30 – 19
หลัง 345/30 – 20
เบรก Carbon ceramic (Brembo)
หน้า 398 x 223 x 36 มม
หลัง 380 x 253 x 34 มม
ระบบควบคุมอีเล็คโทรนิค
ESC ระบบควบคุมเสถียรภาพ
High perf ABS/EBD ระบบป้องกันล้อล๊อคประสิทธิภาพสูง/electronic brake balance
EF1-Trac ระบบป้องกันลื่นไถล F1 electronic traction control ใช้ร่วมกับระบบhybrid
E-Diff 3 เฟืองท้ายอีเล็คโทรนิครุ่นที่3
SCM-E Frs กันสะเทือนชนิด Magnetorheological damping with twin solenoids (Al-Ni tube)
Aerodynamics Active
*dynamic ram effect
อ่านข่าว Special Scoop เพิ่มเติมได้ที่นี่
เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ MotoRival ของเราครับ