สำหรับคนที่ติดตามการแข่งขัน MotoGP ไม่ว่าจะเป็นแฟนคลับขาจรหน้าใหม่ หรือแฟนรุ่นเก่าที่ติดตามดูมาแล้วหลายฤดูกาล ก็น่าจะทราบกันมาบ้างว่ากิจกรรมในสนามแข่ง ไม่ได้มีแค่ช่วงการแข่งจริงในวันอาทิตย์ที่เห็นอยู่ในโทรทัศน์เท่านั้น เพราะยังมีการแข่งระยะสั้นในวันเสาร์ และการซ้อมที่เริ่มทำการตั้งแต่วันศุกร์ แต่หลายคนน่าจะยังไม่ทราบกันว่าแต่ละช่วงเขาทำอะไรกันบ้าง วันนี้เราเลยจะมาอธิบายให้ทุกคนเข้าใจกัน

เราขออธิบายกันก่อนว่ากิจกรรมบนสนามแข่งจะละช่วง ไม่ว่าจะเป็นการซ้อม หรือการแข่งจริงจะถูกแบ่งและเรียกว่า Session ซึ่งแต่ละ Session นั้นจะมีจะเป้าหมายในการวิ่งที่แตกต่างกัน รวมถึงมีระยะเวลาที่ในการวิ่งที่แตกต่างกันด้วย
โดย Session แรกที่นักแข่งของรุ่นใหญ่อย่าง MotoGP จะลงสนามนั้นจะเกิดขึ้นในวันศุกร์ เริ่มต้นกันที่ช่วง Free Practice 1 หรือ FP1 ซึ่งนักแข่งทุกคนจะลงไปวิ่งพร้อมกันเป็นระยะเวลา 45 นาที โดยมีเป้าหมายเพื่อซ้อมเก็บข้อมูล ทำความเข้าใจกับตัวรถและสนามแข่ง ในช่วงเวลานั้นนักแข่งแต่ละคนจะสามารถกลับเข้ามาปรับเซ็ทรถใหม่กี่ครั้งก็ได้ เพื่อปรับจูนให้รถอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด

ถัดมาคือช่วง Practice หรือ PR ที่จะมีระยะเวลาที่สามารถลงวิ่งได้ 60 นาที ตอนนี้จะถือว่าเข้าช่วงเวลาสำคัญที่จะส่งผลไปสู่วันแข่งจริง โดยเวลาต่อรอบที่ดีที่สุดของนักแข่งแต่ละคนจะถูกนำมาเรียงกัน เพื่อแบ่งพวกเขาออกเป็น 2 กลุ่ม นักแข่งที่ทำเวลาอยู่ในอันดับที่ 11 หรือต่ำลงมาทั้งหมดจะอยู่ในกลุ่มแรก ส่วนนักแข่ง 10 อันดับแรกจะอยู่ในกลุ่มที่สอง ซึ่งการแบ่งกลุ่มที่ว่านี้จะส่งผลกับ Session Qualify ที่จะมีขึ้นในวันเสาร์

ต่อมาในวันเสาร์ นักแข่งรุ่นใหญ่จะลงสนามครั้งแรกของวันในช่วง Free Practice 2 หรือ FP2 ซึ่งจะเป็นการซ้อมตามปกติไม่ต่างจาก FP1 ที่จะไม่ได้เอาเวลาและอันดับในตารางไปใช้งานอะไร เป็นการซ้อมที่จะกินระยะเวลานาน 30 นาที

เข้าสู่ช่วงบ่าย และถือเป็นหนึ่งในช่วงเวลาตัดสินผลงานครั้งสำคัญครั้งแรกในแต่ละสนาม นักแข่งกลุ่มแรกที่ทำเวลาอยู่ในอันดับต่ำกว่า 11 ของช่วง PR จะลงมาวิ่งพร้อมกันในช่วง Qualify 1 หรือ Q1 เป็นระยะเวลา 15 นาที นักแข่งทุกคนต้องใส่ทุกอย่างที่มีเพื่อทำเวลาต่อรอบให้ดีที่สุด

โดยนักแข่งที่ทำเวลาต่อรอบที่ดีที่สุดในอันดับ 1 และ 2 ของช่วง Qualify 1 จะได้โอกาสไปลงวิ่งอีกครั้งในช่วง Qualify 2 ร่วมกับเหล่านักแข่งกลุ่มที่สอง ส่วนนักแข่งที่อยู่ในอันดับที่ 3 ลงไป จะได้รับตำแหน่งออกตัวในการแข่งขันจริงในกริดที่ 13 และไล่ลงไปคนถึงท้ายแถวตามผลงาของแต่ละคน
ถัดมาก็จะเข้าอยู่ช่วง Qualify 2 หรือ Q2 เหล่านักแข่งกลุ่มแรก 2 คน ที่ทำเวลาดีที่สุดจาก Q1 จะลงมาร่วมวิ่งใน Session นี้กับนักแข่งกลุ่มที่สองที่เคยทำเวลาได้ 10 อันดับแรกในช่วง Practice รวมแล้วจะมีนักแข่งลงวิ่งในช่วงนี้อยู่ 12 คน เป็นเวลา 15 นาที และเมื่อนำเวลาที่ดีที่สุดของแต่ละคนมาเรียงกัน เราก็จะได้ตำแหน่งการออกตัวในกริดที่ 1-12

ซึ่งเหตุผลที่ทางผู้จัดทำการแบ่งนักแข่งออกเป็น 2 กลุ่ม ในช่วง Practice ก็เพื่อเป็นการแยกนักแข่งที่เร็วและช้าออกจากกัน และให้นักแข่งและละกลุ่มที่มีเวลาใกล้เคียงกันลงวิ่งจับเวลาด้วยกัน เพื่อช่วยจำกัดจำนวนนักแข่งไม่ให้หนาแน่นเกินไปในช่วงเวลาสำคัญ นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้นักแข่ง 2 อันดับแรกจาก Q1 สามารถขึ้นไปลุ้นเอาอันดับออกตัวในหัวแถวได้ใน Q2 ได้อีกด้วย

และหลังจากที่เราได้ลำดับการออกตัวของนักแข่งทุกคนครบแล้ว ก็จะเข้าสู่การแข่งขันที่มีการเก็บคะแนนครั้งแรกจริงของสนามนั้น นั่นก็คือช่วง Sprint Race ที่จะมีจำนวนรอบการวิ่งเป็นจำนวนครึ่งหนึ่ง ของจำนวนรอบทั้งหมดของการแข่งขันจริงในวันอาทิตย์ ทางด้านคะแนนที่นักแข่งแต่ละคนสามารถเก็บได้ ก็จะเป็นครึ่งหนึ่งของคะแนนเต็มด้วยนั่นก็คือ 12 คะแนน ละลดลงไปตามอันดับที่เข้าเส้นชัย

ข้ามมาสู่วันสำคัญที่สุดของการแข่งขัน นั่นก็คือวันอาทิตย์ เริ่มต้นช่วงเช้ากันด้วยการซ้อมเปิดกันในรอบ Warm Up เป็นระยะเวลา 10 นาที ถือเป็นครั้งสุดท้ายที่นักแข่งจะได้ปรับจูนรถให้ลงตัวก่อนแข่งจริง และเมื่อเข้าสู่ช่วงการแข่งจริงหรือ Race นักแข่งทุกคนก็จะประจำกริดสตาร์ทตามลำดับที่ได้ในช่วง Qualify 1 และ Qualify 2 ซึ่งจะเป็นลำดับเดียวกับที่ใช้ออกตัวใน Sprint Race

จำนวนรอบที่ใช้ในการแข่งขันจริงจะอยู่ที่ประมาณ 120 กิโลเมตร นั่นทำให้แต่ละสนามนั้นมีจำนวนรอบที่ใช้ในการแข่งขันไม่เท่าขึ้น ขึ้นอยู่กับความยาวต่อรอบของแต่ละสนาม สนามไหนสั้นก็จะวิ่งหลายรอบหน่อย สนามไหนยาวก็จะมีจำนวนรอบน้อยลงมา ซึ่งคะแนนสูงสุดที่นักแข่งอันดับที่ 1 จะได้รับในการแข่งจริงคือ 25 คะแนน ละลดลงไปตามอันดับ ซึ่งคะแนนของทั้งรอบ Race และ Sprint Race ในแต่ละสนามจะถูกนำมารวมกันเพื่อค้นหาแชมป์โลกเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล
อ่านข่าวสาร MotoGP เพิ่มเติมได้ที่นี่