ย้อนไปในปี 2019 ที่กติกา “Track Limit” มีบทบาทสำคัญที่ทำให้เกิดกรณีดราม่าในศึก MotoGP หลายครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้นักบิดโกงด้วยการวาดไลน์กว้างกว่านักบิดคนอื่นๆจนสามารถทำความเร็วได้มากกว่านักบิดคนอื่นๆที่วิ่งบนพื้นที่แทร็คปกติ
แต่ด้วยความยากในการดึงข้อมูลมาตัดสิน เพราะกรรมการต้องมาคอยมองภาพจากกล้องว่าล้อหน้า-หลังของตัวแข่งที่นักบิดขี่อยู่นั้น หลุดมาเหยียบพื้นที่แทร็คลิมิตทั้ง 2 ล้อ ทีละช็อตๆเลยหรือไม่ จึงทำให้พวกเขาต้องหาวิธีใหม่มาช่วยลดความยุ่งยากตรงนี้ นั่นคือการติดเซนเซอร์วัดแรงดัน หรือแรงกดมาติดตั้งบนพื้นแทร็คลิมิตไปเลย แถมด้วยการใช้วิธีเก็บข้อมุลเช่นนี้ จึงทำให้ไม่ว่านักบิดจะเหวี่ยงล้อออกมาเหยียบพื้นแทร็คลิมิตเพียงล้อเดียว หรือทั้งสองล้อ กรรมการก็จะนับว่าเป็นการเหยียบแทร็คลิมิตทั้งหมด และมีผลต่อเนื่องในการไม่นำเวลาการวิ่งในรอบนั้นมาคิดในรอบ Free Practice และ รอบ Qualify รวมทั้งการบวกเวลา ไปจนถึงการปรับโทษในการแข่งขันจริงด้วย
“กติกา Track Limit จะยังคงเหมือนเดิม (วิธีการปรับโทษต่างๆกรณีนักบิดหลุดมาเหยียบแทร็คลิมิต), แต่สิ่งที่เราพยายามทำกันมาตั้งแต่ปีก่อนก็คือการพัฒนา ปรับปรุงระบบช่วยตรวจจับแทร็คลิมิต” Mike Webb ผู้คุมการแข่งขันกล่าวในเว็บไซต์ MotoGP.com
“ผุ้คุมเวลาของ Dorna ทำงานอย่างหนักเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอดปี, เราจึงมีระบบใหม่นั่นคือการวัดแรงกดบนพื้นที่นอกเอเป็ก(พื้นที่ Track Limit ที่ทาสีเขียวเอาไว้), ดังนั้นเราจึงสามารถตรวจจับได้อย่างแม่นยำว่านักบิดวิ่งออกมาในพื้นที่แทร็คลิมิตหรือไม่”
“ดังนั้น กติกา(การปรับโทษนักบิด)จะยังคงเหมือนเดิม, แต่เพราะระบบนี้มันมีความแม่นยำมากขึ้นกว่าการใช้กล้องเหมือนที่เราเคยทำ, ทำให้ถ้าหากนักบิดหลุดออกมาแตะแทร็คลิมิตแม้เพียงล้อเดียว ระบบก็จะตีว่าเขาหลุดมาเหยียบแทร็คลิมิตทันที (จากเดิมที่กรรมการต้องมาเพ่งดูว่านักบิดบานออกมาชนิดล้อหลุดขอบทั้งสองเลยหรือไม่ ?”
อ่านข่าวสาร MotoGP เพิ่มเติมได้ที่นี่