Red Bull KTM Factory Racing ดึง Pedro Acosta ดาวรุ่งโมโตจีพี และแชมป์โลกสองสมัย กลับสู่สังกัดสีส้มอีกครั้งในปี 2025 ด้วยสัญญาระยะยาวฉบับใหม่กับนักบิดวัย 20 ปี ผู้สร้างปรากฏการณ์ความฮือฮา หมายความว่า #31 จะได้สวมชุดประจำทีมพร้อมกับรถ KTM RC16 เป็นปีที่ 2 ในรุ่นโมโตจีพี
ในฤดูกาลแรกของการขึ้นสู่รุ่นพรีเมียร์คลาส Acosta เก็บไปแล้ว 2 โพเดี้ยม ซึ่งถือเป็นหนึ่งในนักบิดที่อายุน้อยที่สุดที่สามารถขึ้นโพเดี้ยมได้สำเร็จ รวมถึงเป็นนักบิดที่อายุน้อยที่สุดที่คว้าแชมป์สองสนามติดต่อกัน และเขายังคงรั้งอยู่ในกลุ่ม 5 อันดับแรกของตารางคะแนนชิงแชมป์โลก ณ ปัจจุบัน (1 มิ.ย. 2024 วันเซ็นต์สัญญา)
เส้นทางสายแกร่งของ Acosta ในการไต่ระดับการแข่งขัน Grand Prix นั้นรวดเร็ว เขาคว้าแชมป์รายการ Red Bull MotoGP Rookies Cup ปี 2020 ในฤดูกาลที่สอง ต่อมา เซ็นสัญญากับทีม Red Bull KTM Ajo และสามารถคว้าโพเดี้ยมในรุ่น Moto3™ ได้ตั้งแต่สนามแรกที่ประเทศกาตาร์ในปี 2021 และคว้าชัยชนะครั้งแรกในสนามเดียวกันในสัปดาห์ถัดมา ฤดูกาลเดียวในรุ่น Moto3™ ของเขาจบลงด้วยแชมป์โลก และเขาก็เลื่อนชั้นสู่รุ่น Moto2™ ในปี 2022 ก่อนที่เขาจะสามารถคว้าแชมป์โลกอีกครั้งในปี 2023 และ ก้าวขึ้น Premiere Class ในปี 2024 นี้
Pedro Acosta: “มันเป็นความฝันในปี 2020 ตอนที่ผมเซ็นสัญญาฉบับแรกกับ KTM เพื่อไปแข่ง Moto3 มันไม่ใช่ช่วงเวลาที่ง่ายสำหรับผมเลย พวกเขาช่วยชีวิตการแข่งของผมไว้ ให้พูดแบบนั้นก็ได้ และมันยอดเยี่ยมมากที่ได้ก้าวขึ้นมาสู่ทีมโรงงานและเดินบนเส้นทางนี้ร่วมกัน ผมจำได้ในปี 2019 ตอนที่มีการคัดเลือกนักบิดเข้าร่วมรายการ Rookies มันเหมือนเป็นโอกาสสุดท้ายของผม แต่ KTM และ Red Bull ก็มอบโอกาสให้กับผม มันเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีที่สุดที่ผมมี”
“มันรู้สึกได้ถึงความคาดหวัง ไม่ว่าจะเป็นจากสื่อ สปอนเซอร์ ทุกคนที่เกี่ยวข้อง…แต่หลังจากนั้น คนรอบข้างผมก็บอกว่านี่เป็นฤดูกาลที่ไม่มีแรงกดดัน ถึงอย่างนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะลงแข่งในฤดูกาลแรกของรุ่น Moto3 ด้วยผลงานที่เราทำได้มาจนถึงตอนนี้ เรากำลังอยู่บนเส้นทางที่ดี”
“มันสำคัญสำหรับผมที่จะเดินหน้าต่อไปกับ KTM และมองเห็นทั้งโปรเจคต์และเรื่องราวทั้งหมดจนถึงตอนนี้ รวมถึงการที่เราเติบโตขึ้นในวงการแข่งรถ ดังนั้น มันเป็นเรื่องที่ดีที่จะก้าวต่อไปในอนาคต การกลับมาสวมชุดสีส้มก็เหมือนกับการได้กลับบ้าน มันเป็นเพราะแรงผลักดันและการพัฒนาของพวกเขาในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา นั่นเองที่เป็นแรงผลักดันให้ผมอยู่ต่อในอีกสองสามปีข้างหน้า”
อ่านข่าว MotoGP เพิ่มเติมได้ที่นี่