เมื่อวันที่ 7-8 ก.พ. ที่ผ่านมา ทาง Triumph Motorcycles Thailand ได้เชิญสื่อมวลชนสายรถจักรยานยนต์ชั้นนำของประเทศไทย เข้าร่วมทดสอบสมรรถนะของ 2018 Triumph Tiger 800 ใหม่ ไกลกันถึง Marrakech ประเทศ Morocco ซึ่งถือเป็นการทดสอบแบบ Global Press Ride โดยการทดสอบในครั้งนี้ จะได้ทดสอบทั้ง 2 ตระกูล On-Road และ Off-Road ซึ่งเราจะขอมารีวิว รีวิว 2018 Triumph Tiger 800 XCA/XRT ซึ่งเป็นรุ่นท๊อปของทั้ง 2 สายกันครับ
ก่อนหน้านี้ย้อนไปเมื่อช่วงปี 2016 ทาง MotoRival ของเราเองได้เคยทดสอบทำรีวิว 2016 Triumph Tiger 800 XCA และ XRT (คลิ๊กอ่านได้ที่นี่) รุ่นท๊อปทั้ง 2 สาย กันไปแล้วในขณะนั้น งั้นในวันนี้เราลองมาดูเจ้าเสือใหม่กับ รีวิว 2018 Triumph Tiger 800 XCA/XRT กันต่อเลยดีกว่าครับว่าจะมีอะไรโดดเด่นกันบ้าง
ก่อนอื่นเลยเพื่อนๆ ทราบกันหรือไม่ว่า All New Tiger คันนี้ จริงๆ แล้วมันมีประวัติมายาวนานมาก กว่า 80 ปี ซึ่งถือได้เป็นรถมอเตอร์ไซค์ ADV ที่มีเรื่องราวประวัติยาวนานสุดในโลกเลยก็ว่าได้ ดังนั้น หากเพื่อนๆ มองว่ารถตระกูล ADV ที่มีชื่อเสียงนั้นต้องยกให้ทางฝั่งเยอรมันนีเพียงอย่างเดียว เห็นจะไม่ใช่ คุณคงต้องไม่ลืมว่าพี่เสือฝั่งอังกฤษ นี้ก็ ต้นตระกูลที่เก่าแก่ และอยู่ในวงการนี้มายาวนานทีเดียว
สำหรับ 2018 Tiger 800 นี้ แม้รูปลักษณ์ภายนอกจะดูไม่ได้แตกต่างจากเดิมมากมาย แต่พี่เสือใหม่ได้รับการอัพเกรด รายละเอียดทั้ง โครงรถและเครื่องยนต์มากกว่า 200 รายการ เลยทีเดียว
ไฮไลท์หลักๆ ได้แก่
ระบบไฟหน้าแบบ LED มาพร้อมไฟ DRL
บังลมหน้าปรับระดับได้ 5 ระดับ ปรับได้แสนง่าย เพียง ดันไปทางด้านหน้า และดึงเลื่อนขึ้น-ลง ได้เลย นั่งคร่อมรถอยู่ก็สามารถปรับระดับได้ง่ายดาย
หน้าจอแบบสี TFT ซึ่งยกมาจาก Street Triple RS ทางผู้เขียนได้ปรับไว้ที่ Auto Contrast ซึ่งจะช่วยให้ขณะที่ขี่รถ และสภาพแสงมีการปรับเปลี่ยนหน้าจอจะปรับ Contrast ให้เรามองได้ชัดเจนแบบอัตโนมัติ ซึ่งถือว่าเวิร์คทีเดียว
ชุดสวิทช์ควบคุมในแบบเดียวกับ Street Triple RS ที่มาพร้อม Joy Stick 5 ทิศทาง ช่วยให้การ Command ทำได้ง่ายขึ้น
ดีไซน์ท่อแบบใหม่ ที่มีขนาดเล็กลง ช่วยลดน้ำหนัก และให้ซุ่มเสียงที่ดีขึ้น
ช่องจ่ายไฟ USB ใต้เบาะนั่ง รวมถึงช่องจ่ายไฟ 12V ข้างรูเสียบกุญแจ
นอกจากนั้น ก็ยังมีฟังก์ชั่น เด่นๆ แบบที่พบใน Tiger เดิม ได้แก่
Heated Grip/Seat รวมไปถึง Cruise Control เป็นต้น
ตัวเบาะนั่งนั้น มีการปรับ Compound ใหม่ นั่งได้สบายก้นกว่าเคย และยังสามารถปรับได้ 2 ระดับ เช่นเดิม ในรุ่น XR จะอยู่ที่ 810-830 มม. ด้าน XC จะอยู่ที่ 840-860 มม.
ถังน้ำมันจุเท่ากัน 19 ลิตร ทั้ง 2 โมเดล
ผู้เขียนมีส่วนสูง 174 ซม. พบว่าในโมเดล XCA แม้ว่าเราจะปรับขนาดเบาะให้เตี้ยลงแล้ว สวมบูทยาว ที่พื้นส้นไม่สูงนัก จะเหยียบได้ไม่เต็มเท้าดี
ตัว XCA มีการยกตุ๊กตาแฮนด์ ช่วยให้ตำแหน่งแฮนด์สูงขึ้นเหมาะแก่การยืนขี่ควบคุมบนทาง Off-Road ได้ดีกว่า XRT ที่ท่านั่งจะดูจมๆ กว่าอยู่หน่อย
นอกจากนี้ตำแหน่งแฮนด์เปลี่ยนไปอีกเล็กน้อย 2018 Tiger 800 จะงุ้มแฮนด์หักเข้าหาลำตัวขึ้นอีก 10 มม. ช่วยให้ตำแหน่งการควบคุมแฮนด์ในจังหวะหักวงเลี้ยวดียิ่งขึ้น ไม่กางไปข้างหน้าเหมือนโมเดลก่อน
ขอเข้ามาพูดถึงการขี่รถในวันที่ทีมไทยเราได้ทดสอบ ต้องถือช่วงทดสอบในวันแรกนั้น สภาพอากาศโชคดีเป็นใจมากไม่มีฝนมาสร้างอุปสรรคแต่อย่างใด มีแต่แดดที่แรงจ้าในช่วงเช้า แต่อุณหภูมินั้นยังอยู่ในช่วง 10 องศา ต้นๆ ไปจนถึง เลขตัวเดียว ที่เกือบๆ จะแตะ 0 ในช่วงที่เราวิ่งขึ้นเขา Atlas ซึ่งได้เห็นหิมะปกคลุมพื้นที่ทะเลทรายเป็นช่วงๆ
ผู้เขียนเองได้ใส่เสื้อ 3 ชั้นในวันทดสอบ ซึ่งพบว่ามันไม่ค่อยจะให้ความอุ่นแก่ร่างกายได้เท่าที่ควร ยังไงก็ดี ต้องขอบคุณ Triumph ที่ใส่ฟังก์ชั่น Heated Grip/Seat มาให้ แม้ว่าจะไม่มีโอกาสได้ใช้ใน Tiger ตัวเก่าที่ได้เคยทดสอบใน กทม. กันไป แต่ครั้งนี้ มันช่วยเหลือเราได้มาก มอบความอุ่นให้มือ และก้น ซึ่งมันยังสามารถเลือกปรับระดับความอุ่น ได้ด้วยเมื่อต้องเจอกับอากาศที่หนาวเย็นมากๆ
ขุมพลังเครื่องยนต์ 3 สูบเรียง 800cc มีกำลัง 95 แรงม้า @9,500rpm ขณะที่แรงบิดมาแบบ Flat Torque ตั้งแต่รอบต่ำ โดยมีทอร์คสูงสุด 79 Nm @8,050rpm ได้มีการเปลี่ยนท่อไอเสียใหม่ ที่ดูจะเบาลงเล็กน้อย แต่มันยังคงเอกลักษณ์ 3 สูบ ที่หวานในเนื้อเสียงเช่นเคย
เครื่องยนต์ 3 สูบ บล็อกนี้ดูเผินๆ ไม่แตกต่างจากเดิม แต่ทาง Triumph ได้มีการปรับปรุงในหลายๆ ส่วนตามที่ได้กล่าวไปก่อนหน้า นอกจากนี้อัตราทดเกียร์ 1 ที่สั้นกว่าเดิม เพื่อเน้นการขี่ Off Road รวมไปถึงการมอบอัตราเร่งในช่วงกระแทกเปิดคันเร่งในช่วง Low Speed ก็ทำได้ดีขึ้น
ในการขี่บนถนนที่เมือง Marrakech นี้ โดยเฉพาะช่วงทางขึ้นเขาที่มีความลาดชันมาก และคดเคี้ยวพับไปมาพี่เสือ 3 สูบของเรา นั้นมีแรงบิดที่สามารถเปิดคันเร่งขึ้นได้สบายๆ ตั้งแต่เกียร์ 3 เพื่อทะยานขึ้นทางชันเหล่านั้นโดยไม่มีความจำเป็นต้องลดเกียร์
ข้อดีของขุมพลัง 3 สูบ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนชื่นชอบมากๆ เพราะ มันมีสไตล์เฉพาะตัว ไม่ใช่เพียงเสียง แต่กำลังที่บิดเป็นมาในทุกย่าน อัตราเร่งช่วงต้นไม่เนือยเหมือน 4 สูบ แต่ก็ไม่ดีดเหมือน 2 สูบ มันขึ้นแบบลื่นๆ มอบอัตราเร่งที่ดีตั้งแต่ต้นไปยันความเร็วในช่วงปลายที่ยังรีดออกมาได้สม่ำเสมอ
ขณะที่ความเร็วในการเดินทางในช่วงถนนโล่งๆ หลายช่วงขบวนเรากดไปถึงความเร็วระดับ 150 กม./ชม.+ ได้แบบสบายๆ ซึ่งเราไม่มีอาการเมืื่อยล้า แต่อย่างใด เครื่องยนต์ 3 สูบ สมูทไม่สั่นให้ปวดล้าข้อมือกันแต่อย่างใด
สำหรับโหมดในการขี่นั้น มีให้เลือกถึง 5 แบบ คือ Rain, Road, Sport, Off-Road, Riders (XCA เพิ่ม Off-Road Pro เข้ามาเป็น 6 Mode) ต้องเรียนตามตรงว่า ผู้เขียน ได้ลอง แค่ 2 โหมด ในทาง On-Road คือ Road และ Sport ซึ่งผู้เขียนใช้ Road เป็นส่วนใหญ่ ได้ปรับมาใช้ Sport บนช่วงที่มีทางโล่งยาว กับช่วงที่เป็นโค้งยาวๆ ให้ได้ลองเข้ากันด้วยความเร็ว พบว่า Sport Mode บิดติดมือทันใจดีขึ้นอีก ช่วยให้ขี่สนุก และเร้าใจขึ้นอีกหน่อย
ขณะที่ช่วง Off-Road ตอนบ่าย ผู้เขียนได้สลับจาก XCA มาขี่เจ้า XRT ลุยทาง Off-Road ดังนั้นเราจึงปรับได้เพียงโหมด Off-Road ปกติ ซึ่ง Marshall ได้ให้ขบวนเราจอดก่อนจะกดปุ่มปรับเปลี่ยนโหมดขี่
ระบบกันสะเทือน ในรุ่น 2018 Tiger 800 XRT จะใช้โช้กอัพจาก Showa ทางด้านหน้าแบบใหม่ ซึ่งดีไซน์มาเพื่อการขี่ On-Road ระยะทางยาวไกล มอบความสบายในการขี่
ขณะที่ XCA จะใช้ของ WP ชื่อดัง เช่นเคยแบบท่ี่พบในโมเดลเดิม การันตีสมรรถนะในการดูดซับแรง และการยึดเกาะได้อย่างยอดเยี่ยม
ในช่วงเช้าผู้เขียนขี่ XCA บนทาง On-Road พบว่า ในเรื่องของการยึดเกาะของตัวโช้กอัพ ทุกย่านความเร็วทำได้ดี การเจอหลุมต่างๆ ซับแรงได้อย่างน่าประทับใจ รวมถึงการยึดเกาะถนนแม้ขี่ด้วยความเร็ว ก็หนึบแน่น
แต่อย่างไรก็ดีการขี่บนทาง On-Road ผู้เขียนมั่นใจในโมเดล XRT มากกว่า จากขนาดยางที่เหมาะกับการขี่บนทางเรียบ เทโค้งได้มั่นใจกว่า
ขณะที่ Off-Road น่าเสียดายที่เราไม่ได้ลอง XCA เพราะ จังหวะนั้นได้ XRT ในช่วงบ่าย การขี่ XRT บนทาง Off-Road ที่ไม่ Hardcore มันก็ไปได้ แต่ล้ออัลลอย กับช่วงล่าง Showa มันดู จะไม่ซับแรง และยืดหยุ่นนัก จึงกระแทกกระเด้งกระดอนมือ พอควร การควบคุมก็จะยากขึ้นหน่อย รวมถึง ตำแหน่งแฮนด์ที่อาจจะดูเตี้ยไปนิด เวลายืนขึ้น เนื่องจากไม่มีตุ๊กตาแฮนด์ยกในแบบ XCA
นอกจากนี้ XCA จะมีปากบังโคลนหน้าเพิ่มเข้ามาซึ่งจะช่วยกันพวกก้อนหินกรวดดีดขึ้นมาทางด้านหน้าได้อีกเล็กน้อย
ถ้าจะให้สรุป สั้นๆ XRT พอไป Off-Road เบาๆ ได้แบบสบายๆ แต่ XCA จะขี่ได้สบายกว่าอย่างเห็นได้ชัด หากคุณขี่ On-Road เป็นหลักและเข้าโค้งเทเยอะ และเร็ว XRT ดูจะเข้าโค้งได้มั่นใจกว่า และมันมี นน. ที่เบากว่าอีก 6 กก. และความสูงเบาะ ที่เตี้ยกว่าถึง 30 มม. อีกด้วย
XRT หนัก 202 กก. ปรับความสูงเบาะได้ 810-830 มม.
XCA หนัก 208 กก. ปรับความสูงเบาะได้ 840-860 มม.
ระบบเบรก ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของการอัพเกรดสมรรถนะในการขี่อย่างเห็นได้ชัด จากเดิมที่ใช้ปั๊มเบรกของ Nissin ได้เปลี่ยนมาใช้ Brembo ใน All New Tiger นี้ ซึ่ง สามารถช่วยเราชะลอความเร็วก่อนจะเจอทางโค้งโหด บนเขา Atlas นี้ได้อย่างอยู่หมัด ไม่ต้องคอยกังวลกับการเบรกเพื่อชะลอความเร็ว ว่ามันจะต้องเผื่อระยะเบรก หรือเบรกไม่อยู่แต่อย่างใด
สรุป รีวิว 2018 Triumph Tiger 800 XCA/XRT ในครั้งนี้ แม้จะเป็น 1st Impression ได้มาลองไกลต่างแดน กันถึง Marrakesh ประเทศ Morocco บนเทือกเขา Atlas แล้วล่ะก็ แต่มันก็ได้มอบความรู้สึกๆดีๆ มากพอที่จะทำให้เรายืนยันได้ว่า มันคือรถ ADV ทั้งทางเรียบ/ฝุ่น ในคลาส 800 ที่ดีที่สุดที่มีจำหน่าย ณ ขณะนี้ ทั้ง ออปชั่น ที่ทันสมัยครบครัน รวมถึง สมรรถนะที่การันตี ได้จากขุมพลัง 3 สูบ และระบบช่วงล่างที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะในรุ่น XCA
อย่างไรก็ดี ผู้เขียนมองว่า หากคุณจะเลือกซื้อพี่เสือ Tiger 800 แล้วล่ะก็ ซื้อ XCA เลยดูจะคุ้มกว่า เนื่องจากราคาต่างกันเล็กน้อย แต่ได้ช่วงล่าง WP และดีไซน์ของตัวรถที่พร้อมลุยกว่า รวมถึงท่าทางการขี่ที่ดูดีกว่าด้วย แต่ถ้าคุณเป็นสายทางเรียบอย่างเดียว XRT ก็จะตอบโจทย์กว่า แต่ผู้เขียนยังแอบคิดเลยว่า ออก XCA แล้วไปหาเปลี่ยนล้ออัลลอย สำหรับวิ่งทางดำเอาได้ไหม!
สำหรับรายละเอียด หลายส่วนที่เรายังไม่ได้พูดถึงใน XRT และ XCA อาจจะขอยกไว้ก่อน เนื่องจากเรายังไม่ได้ลองทั้งหมดทุกฟังก์ชั่น และหากมีโอกาสจะมารีวิวกันเต็มๆ อีกครั้งใน กทม. ให้รับชมกันอีกทีครับ
2018 Triumph Tiger 800 XRT มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Silver Ice, Crystal White และ Matt Cobalt Blue ราคา 645,000 บาท
2018 Triumph Tiger 800 XCA มีให้เลือก 3 สี ได้แก่ Korosi Red, Crystal White และ Marine ราคา 665,000 บาท
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
ขอขอบคุณทาง Triumph Motorcycles Thailand สำหรับทริปทดสอบ 2018 Triumph Tiger 800 Global Press Test ในครั้งนี้เป็นอย่างสูงครับ
อ่านรีวิวรถ เพิ่มเติมได้ที่นี่
อ่านข่าว Triumph เพิ่มเติมได้ที่นี่
เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ MotoRival ของเราครับ