Royal Enfield ถือได้ว่าเป็นรถที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 100 ปี ซึ่งในช่วงแรก บริษัทผลิตทั้ง รถจักรยานยนต์, จักรยาน และ เครื่องตัดหญ้า
ในช่วงปี 1949 Royal Enfield ได้เป็น Partner กับทางอินเดีย ซึ่งขณะนั้น ประเทศอินเดียกำลังต้องการรถใช้งานให้กับทางตำรวจ และกองทัพ ซึ่งปี 1955 ทาง Madras Motors ได้ถือหุ้นมากกว่า 50% ของบริษัทฯ และปี 1967 Royal Enfield ก็ได้ขายให้กับนักธุรกิจรายหนึ่ง ก่อนที่ในท้ายที่สุด Enfield of India ได้ซื้อชื่อ Royal Enfield ไปบริหารจัดการต่อ จนในปัจจุบันรถ Royal Enfield นั้น ถือได้ว่าอยู่ในสายการผลิตที่ประเทศอินเดียเต็มรูปแบบ
เมื่อปีที่ผ่านมาถือเป็นข่าวดีสำหรับชาวที่ที่รักรถคลาสสิคแบบต้นกำเนิด เมื่อ บริษัท เจเนอรัล ออโต้ ซัพพลาย จำกัด ผู้แทนจำหน่าย Royal Enfield อย่างเป็นทางการในไทย ได้บุกตลาดประเทศไทยครั้งแรกเมื่อช่วงงาน Motor Expo 2015 ที่ผ่านมา และในช่วงปลายเดือน กพ. ที่ผ่านมาก็ได้มีการเปิด Royal Enfield Exclusive Store แห่งแรกในประเทศไทย พร้อมทำการปรับราคาน่าดึงดูดกว่าเดิม
ซึ่งในวันนี้ MotoRival เราขอมีพิสูจน์ความขลังของตำนาน ดังกล่าว กับ รีวิว Royal Enfield Continental GT และ Classic Desert Storm 2 ตัวขาย ทั้ง 2 เครื่องยนต์ 500cc และ 535cc ของ Royal Enfield กันครับ
เริ่มด้วยรถคันแรกที่เราทดสอบ Royal Enfield Continental GT ซึ่งนับได้ว่าเป็นรถจักรยานยนต์ที่เบาที่สุด เร็วที่สุด และทรงพลังที่สุดของ Royal Enfield
Continental GT เป็นรถในสไตล์ Café Racer กำเนิดขึ้นในปี 1965 ซึ่งรุ่นปัจจุบันยังคงโดดเด่นด้วยการคงเอกลักษณ์ยุค 60 เอาไว้ไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีการพัฒนาเครื่องยนต์ไปใช้ระบบหัวฉีด พร้อมติดตั้งปุ่มสตาร์ทมือ เพื่อความสะดวกสบายในการใช้งาน
รูปลักษณ์ของ Continental GT ยังคงสไตล์ Café Retro ไว้อย่างเต็มเปี่ยม ทั้ง
ไฟหน้าทรงกลม, เบาะแบบตูดมดมาให้ พร้อมด้วยแฮนด์ Clip On (แบบจับโช้คยึดแผงคอบน) ซึ่งปรับระดับได้ น่าเสียดายที่คันนี้ กระจกมองข้างถูกยึดที่ประกับบนตัวแฮนด์ ไม่ใช่แบบกระจกปลายแฮนด์ ซึ่งดูจะให้อารมณ์แบบ Café Racer มากยิ่งขึ้น
แคร้งเครื่องยนต์ด้านข้างชุบโครเมี่ยม เช่นเดียวกับท่อไอเสีย ซึ่งให้ความเงาดูสง่า
ด้านบนถังน้ำมัน ถัดลงจากตำแหน่งฝาถังน้ำมันที่ใช้มือหมุน มีโลโก้ Continental GT
มาตรวัดทรงกลมคู่ ด้านซ้ายบอกความเร็วทั้งหน่วย kph และ mph + หน้าจอดิจิตอลแสดงผลเกจ์น้ำมัน และทริป ด้าวขวาเป็นมาตรวัดรอบ พร้อมไฟเกียร์ N ซึ่งช่วยมอบความ Retro ปน Modern
สวิทช์ไฟซ้าย มีปุ่มไฟ Pass มาให้ สวิทช์ไฟขวามีปุ่มเปิด-ปิดไฟหน้า แยกให้ด้วย
ทางฝั่งซ้ายใกล้กับโช้คหลัง จะพบขอเกี่ยว เอาไว้ยึดเกี่ยวของหรือ ติดตั้ง Accessorie เพิ่มเติม
ล้อซี่ลวดขนาด 18” หน้า-หลัง สวมยาง Pirelli Sport Demon ด้านหน้าไซส์ 100/90/R18 ด้านหลังไซส์ 130/70/R18
สำหรับ Continental GT นี้มีน้ำหนักตัว 184 กก. (Kerb Weight)
ความสูงเบาะ 800 มม.
ความจุถังน้ำมันที่ 13.5 ลิตร
ในด้านท่านั่งการขับขี่
Continental GT ใช้ Hand Clip on ที่จับอยู่แผงคอด้านบน และเบาะที่มีขนาดยาว และตำแหน่งวางเท้าที่เยื้องไปทางด้านหลัง ทำให้ตำแหน่งนั่งไกลจากตำแหน่งแฮนด์ ทำให้ท่านั่งออกมาดูหมอบสไตล์ Café ซึ่งให้ท่านั่งการขับขี่ที่เท่ในแบบสายสปอร์ต ขณะที่ถังน้ำมันทรงแบน และมีร่องให้ต้นขาหนีบได้กระชับพอสมควร
จุดที่อาจเป็นอุปสรรคเล็กน้อย คือเวลาเหยียบเบรกเท้า ในหลายจังหวะ ปลายเท้ามักจะไปโดนที่คันสตาร์ท ซึ่งระยะห่างตรงนี้ค่อนข้างใกล้กันไปหน่อย
และขาตั้งข้างที่หุบซ่อนเข้าไปลึกใต้ท้องรถค่อน ทำให้เวลาเกี่ยวขาตั้งข้างออกนั้นอาจต้องใช้ส้นเท้าเล็งที่ก้านคันเกี่ยวที่ยื่นออกมา แต่สำหรับการตั้งด้วยขาคู่นั้น ทำได้ง่ายและไม่เป็นอุปสรรค
เครื่องยนต์ระบบหัวฉีด EFI 535cc สูบเดี่ยว ระบายความร้อนด้วยอากาศ มอบแรงม้า 29.1 bhp@5,100rpm และแรงบิด 44 Nm@4,000rpm นับเป็นเครื่องยนต์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และแรงที่สุดของ Royal Enfield ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์แบบ 5 Speed
เมื่อติดเครื่องยนต์แล้ว ลองเบิ้ลเครื่องดูจะพบเสียงเครื่องยนต์สูบเดียวลูกโต ดังสั่นๆ และพบเสียงแตก ที่มากกว่าเครื่อง 500cc ในตัว Classic
ในด้านของสมรรถนะนั้น แม้แรงม้าจะดูน้อย แต่ด้วยแรงบิดที่สูง ช่วยให้อัตราเร่งที่ค่อนข้างดีทีเดียว ไม่แพ้รถ Sportbike ในพิกัดระดับ 300cc
การขับขี่บนท้องถนนในเมืองการเร่งแซงเป็นไปได้อย่างง่ายดาย เพียงเปิดคันเร่งเพิ่มเรียกทอร์คก็มีมาให้ใช้อย่างต่อเนื่อง แต่น่าเสียดายนิดที่ทอร์คสูงสุดออกมาที่รอบสูงไปหน่อย ซึ่งหากต้องการรีด จะต้องลากรอบเครื่องยนต์ขึ้นไป และมักจะพบอาการสั่นสะเทือนเข้ามากวนใจอยู่บ้าง
การทำความเร็วปลายนั้นก็ยังพอมีมาให้ใช้อย่างเรื่อยๆ เราสามารถทำความเร็วได้ถึงระดับ 130 กม./ชม. ซึ่งประเมินจากกำลังเครื่องที่มีแล้ว น่าจะทำ Top Speed ได้ในระดับ 145-150 กม./ชม. แต่ด้วยกระบอกสูบเดี่ยวช่วงชักยาว นั่นจึงทำให้พบอาการสั่นของเครื่องยนต์ที่สูง โดยเฉพาะที่ความเร็วระดับ 85 กม./ชม. ขึ้นไป (ขี่สบายมือที่ความเร็วต่ำกว่า 85 กม./ชม.) หรือ ลากรอบไปสูงกว่าระดับ 4,000rpm ขึ้นไป อาการสะท้านมือและเท้าจะมาให้สัมผัสได้ทันที และในช่วงนี้อาจทำให้การมองกระจกข้างค่อนข้างลำบาก
จุดที่น่าประทับใจ คือ ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ แม้อากาศจะร้อนมากในวันที่เราได้ทดสอบ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เรารู้สึกร้อน ซึ่งมันทำได้ดีเกินคาดกับเครื่องยนต์สูบโตระบายความร้อน Air Cooled
ระบบเบรก ด้านหน้าใช้จานดิสก์ขนาดใหญ่ 300 มม. พร้อมปั๊มเบรก Brembo 2 ลูกสูบ และจานหลังขนาด 240 มม. ปั๊มเบรกหลังเป็นของแบรนด์ลูก Brembo นั่นคือ Bybre 1 ลูกสูบ
ซึ่งจะมีเพียงรุ่น Continental GT เท่านั้นที่ใช้ระบบเบรก Brembo เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ดังนั้นเบรกของตัว GT นั้น ถือว่าผ่านฉลุย ให้มีน้ำหนักแรงดันเบรกที่เหมาะสม ทำหน้าที่ในการชะลอความเร็วได้ดี สมกับภาพลักษณ์ สปอร์ตคาเฟ่ มั่นใจได้
ระบบกันสะเทือน โช้คหน้า Telescopic แกนโช้คขนาด 41 มม. มีระยะเคลื่อนตัว 110 มม. โช้คอัพหลังคู่ Paioli พร้อมซับแท้งค์แยก ปรับ Preload ได้ มีระยะเคลื่อนตัว 80 มม.
เจ้า Continental GT นี้ ได้ใช้โช้คอัพที่เซ็ทออกมาค่อนข้างแข็งทีเดียว แม้การเซ็ทแบบดั้งเดิมจากโรงงานนี้ จะปรับที่ระดับอ่อนสุด เต่เมื่อต้องขี่กับพื้นผิวถนนในกทม.ที่ไม่ค่อยจะราบด้วยแล้ว ย่อมมีอาการสะท้านขึ้นมาให้สัมผัสกันพอสมควร แต่ในจุดนี้หลายคนที่รักการขับขี่สไตล์สปอร์ต จะชอบมาก เพราะคุณสามารถเทโค้งได้อย่างมั่นใจทุกครั้ง และไม่มีอาการยวบของช่วงล่าง ท้ายแกว่งออกมาให้เห็นแต่อย่างใด
คันต่อมาก็คือ Classic Desert Storm (Classic 500) รถที่มีรูปทรงสมชื่อคลาสสิค มากับสีน้ำตาลทะเลทราย อันชวนให้เห็นภาพของรถทหารในยุคสงครามโลก พร้อมลุยแบบถึกทนบนสมรภูมิทะเลทรายอันแห้งแล้ง
Classic 500 นี้ ใช้ไฟหน้าทรงกลมแบบ Tiger Eyes ที่มาพร้อมกรอบยื่นออกมาด้านบนดูคล้าย Eyeslid ตามแบบฉบับรถตระกูล Bullet และ Classic
มาตรวัดทรงกลมบอกความเร็ว และ Odometer ไม่มีมาตรวัดรอบให้ในรุ่น Classic มาตรทรงกลมขนาดเล็กทางด้านขวา ไฟเตือนระดับน้ำมัน และไฟเตือนเครื่องยนต์
ห้องเครื่องและกล่องเครื่องมือสไตล์ยุค 1950 ที่ต้องใช้กุญแจไข
แคร้งเครื่องยนต์แบบขัดเงา มอบสัมผัสหรูมีระดับเช่นเดียวกับตัว GT
ล้อซี่ลวด ถูกห่อหุ้มด้วยยาง AVON ล้อหน้าสวมไซส์ 90/90/R19 ล้อหลังไซส์ 110/80/R18
นอกจากนี้จะสังเกตุเห็นพักเท้าหลัง ซึ่งทำมาเพื่อรองรับกับการติดตั้งเบาะยาวซ้อน 2 อีกด้วย
พร้อมยังมีที่จับทางด้านซ้ายของเบาะ ซึ่งเอาไว้จับเวลายกขาตั้งคู่
สำหรับ Classic 500 มีน้ำหนัก 187 กก. (Kerb Weight)
ถังน้ำมันจุ 14.5 ลิตร +- 1 ลิตร โดยฝาถังใช้บิดหมุนได้เลยโดยไม่ต้องเสียบกุญแจ
ท่านั่งขี่
ตำแหน่งท่านั่งค่อนข้างสบาย เบาะที่ไม่สูงเกินไป ตำแหน่งวางเท้าที่เขยิบไปทางด้านหน้าเล็กน้อย (ไม่เท่ากับครุยเซอร์)
ช่วยให้ตำแหน่งนั่งค่อนข้างดีได้หลักสรีระศาสตร์หลังตรง และไม่ปวดเมื่อย แต่แฮนด์ที่งุ้มไปทางด้านหน้ามากไปนิด จึงอาจทำให้แขนดูกางแบะๆ ออกเล็กน้อย แต่ก็ไม่ถือเป็นอุปสรรคในการควบคุม
แต่สำหรับถังน้ำมันที่ดูโค้งมน อาจจะไม่ค่อยกระชับกับต้นขาในการหนีบตัวถังมากนัก
เครื่องยนต์ระบบหัวฉีด EFI 499cc สูบเดี่ยว ระบายความร้อนด้วยอากาศ ให้กำลัง 27.2 bhp@5,250rpm แรงบิด 41.3 Nm@4,000rpm ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์แบบ 5 Speed
ทันทีที่ติดเครื่องยนต์ ของเจ้า Classic 500 นี้ เราจะพบได้เลยว่าเสียงนั้นดูแน่น และน่าฟังกว่าตัว GT 535cc
เมื่อกำคลัชพร้อมออกตัว คลัชสายของเจ้า Classic 500 นี้ดูจะตั้งมาค่อนข้างแข็งทีเดียว อาจทำให้การขี่ในเมืองนั้นมีเมื่อยนิ้วได้บ้างหากใช้ 2 นิ้วในการกำคลัช
สำหรับการหาเกียร์ว่างนั้นทำได้ง่ายดาย ซึ่งต่างจาก GT เป็นอย่างมาก
ในด้านสมรรถนะ หากมองจากตัวเลขเพียงอย่างเดียว จะพบว่ามันไม่ได้ด้อยไปกว่า 535cc ในตัว GT มากนัก ในจังหวะเริ่มเคลื่อนตัวของเจ้า Classic 500 นี้ คุณจะต้องเติมคันเร่งในมือเพิ่มมากเข้าไปเพื่อให้ออกตัวได้อย่างคล่องตัวยิ่งขึ้น ซึ่งจุดนี้ในจังหวะพุ่งออกตัว GT ทำได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทว่าภาพรวมเครื่องยนต์บล๊อกนี้มีแรงบิดระดับ 41 Nm นี้ ก็ยังมอบอัตราเร่งที่เรียกได้ว่าแรงเกินรูปลักษณ์ ทอร์คในรอบกลางๆ เมื่อเริ่มมาแล้ว การแซงรถบนท้องถนนในเมืองไม่ใช่เรื่องยากเย็นแต่อย่างใด แน่นอนไม่ต้องเน้นแรงม้าจากรอบปลาย เพียงกำลังในย่านต้นๆ-กลาง กำลังนั้นมีให้อย่างเหลือเฟื่อสำหรับใช้งานในเมือง หากต้องนำมันไปวิ่งบนถนนหลวงที่ต้องใช้ความเร็วย่านปลาย เราต้องยอมรับความจริงว่า ด้วยสไตล์เครื่องยนต์สูบเดียวช่วงชักยาวเช่นนี้ พบสั่นว่ามันสะเทือนมากทีเดียว (บริเวณข้อมือขวา และเท้าซ้าย) ที่ระดับมากกว่า 90 กม./ชม.ขึ้นไป (ขี่สบายมือที่ความเร็วต่ำกว่า 90 กม./ชม.)
ระบบเบรก ด้านหน้าจานดิสก์ขนาด 280 มม. พร้อมคาลิปเปอร์ 2 ลูกสูบ ด้านหลังใช้ดรัมเบรก ขนาด 153 มม.
ในฟีลลิ่งของการเบรก เราพบว่ามันดูทื่อๆ ไปหน่อย อาจต้องปรับตัวนิดจากการขี่ GT มาขี่ Classic เนื่องจากปั๊มเบรกตัวนี้ไม่ใช่ Brembo และด้านหลังเป็นดรัมเบรก เพื่อความมั่นใจในการลงน้ำหนักเบรกจะต้องลงน้ำหนักเบรกเท้ามากขึ้น และในบางครั้งลงหนักไปหน่อย อาจเริ่มมีอาการล้อล๊อกด้านท้ายนิดๆ ดังนั้นการชะลอความเร็วในรุ่น Classic นี้ ควรเผื่อระยะเบรกให้เพิ่มมากขึ้น เพราะ Classic นี้อาจไม่ได้เน้นรองรับการขี่แบบสปอร์ตนัก
ช่วงล่าง โช้คอัพหน้า Telescopic ขนาดแกน 35 มม. มีระยะเคลื่อนตัว 110 มม. ด้านหลังใช้โช้คแก๊สคู่ สามารถปรับ Preload ได้ 5 ระดับ มีระยะเคลื่อนตัว 80 มม.
ในรุ่นนี้ เราพบว่ามันดูนิ่มนั่งสบาย และซับแรงดีกว่า Continental GT อย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากใต้เบาะนั่งได้มีสปริง เสริมเพื่อรองรับแรงกระแทกเพิ่มเข้ามา อารมณ์โดยรวมของช่วงล่าง Classic 500 นี้ให้ความผ่อนคลาย เหมาะแก่การขี่ชิลๆ เพื่อลาดตระเวนในกองทัพเสียจริงๆ หรือจะเอาไปขี่แถบชายหาดทะเลทราย ก็ดูจะเข้าทีไม่น้อย
สรุป Royal Enfield แบรนด์รถคลาสสิคอันเก่าแก่ มีชื่อเสียงดั้งเดิมจากเกาะอังกฤษ กว่า 100 ปี ตั้งแต่สมัยสงครามโลก แม้ปัจจุบันจะเปลี่ยนมือสู่มหาอำนาจในเอเชียแล้วก็ตาม แต่มันยังคงกลิ่นอายดั้งเดิมอย่างแท้จริงๆ โดยเฉพาะสาย Café Racer ที่จะต้องหลงรักและอยากครอบครอง Continental GT อย่างแน่นอน ขณะที่คนรักรถแนว Retro Classic ที่พร้อมลุยสมบุกสมบันอึดถึกทนตระกูล Classic นั้นจะตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี
และด้วยกุญแจสำคัญที่ทาง เจเนอรัล ออโต้ ซัพพลาย ทำราคาที่น่าดึงดูดให้คนรักคาเฟ่ และคอคลาสสิคจับต้องได้ง่ายขึ้น นี่คือใบเบิกทางที่สำคัญในการเปิด Segment ขนาดกลางกลุ่มใหม่ ในประเทศไทย อย่างแน่นอน
จุดเด่น
-รูปลักษณ์คลาสสิคแบบต้นกำเนิดดั้งเดิม
-เป็นรถนำเข้า ที่มีราคาดึงดูดน่าจับต้อง
-ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศที่ทำได้ดี
จุดที่น่าจะมีเพิ่มเติม
-ฝาถังน้ำมัน แบบเสียบกุญแจเพื่อความปลอดภัย
-การสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ที่เบาลงกว่านี้
ขอขอบคุณ บริษัท เจเนอรัล ออโต้ ซัพพลาย จำกัด สำหรับรถทดสอบ Continental GT Red ราคา 2.198 แสนบาท และ Classic Desert Storm ราคา 1.898 แสนบาท
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver + Photos
อาจารย์บอย กรณ์ชนนท์ เจตน์ปรีชาโชติ Test Driver + Photos
อ่านรีวิวรถอื่น เพิ่มเติมเติมได้ที่นี่
อ่านข่าว Royal Enfield เพิ่มเติมได้ที่นี่
เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ MotoRival ของเราครับ
Royal Enfield Continental GT
Royal Enfield Classic Desert Storm
รีวิว Royal Enfield Continental GT และ Classic Desert Storm ตำนานอังกฤษสมัยสงครามโลก ถ่ายทอดความขลังสู่ยุคปัจจุบัน
ตำนานอันน่าหลงใหล มาให้คุณจับต้องได้ในราคาที่น่าสนใจ