รีวิว Sleek Play 1.0 Pro รถไฟฟ้า ในงบ 8หมื่น ที่วิ่งได้ไกล ตามเคลมถึง 150 กม.
วันนี้ทีมงาน MotoRival อยู่กับรถไฟฟ้า Sleek Play 1.0 รุ่น Pro EV Bike แบต 2 ลูก โดดเด่น ที่แรงบิด และ Sleek เคลมว่าสูงสุดถึง 150 กม.
ที่จริงแล้ว เราเคยพรีวิว ไปตั้งแต่ กลางปีที่แล้ว แต่วันนี้เราเพิ่งได้มีโอกาสมาลองขี่มันจริงๆ กันต้องบอกเลยว่า เป็นรถที่เหมาะกับการใช้ในเมือง แบบกำลังดี ไม่แรงไม่เบาเกินไป
ชุดไฟเป็น Full LED ไฟหน้าโคมกลมโค้ง อยู่บริเวณชิ้นบังลมหน้า
ขณะที่ไฟ DRL จะอยู่ด้านบนเป็นเส้นตรง 3 เส้นดูแล้วคล้ายกรงเล็บ ส่วนไฟเลี้ยวจะอยู่ทางด้านในชุดพลาสติกครอบแฮนด์
ชุดไฟท้ายโคมเหลี่ยม มีไฟเลี้ยว Built in ในตัว
ชุดกุญแจรีโมท หรือ จะสามารถใช้กุญแจไขเปิดระบบรถก็ได้
ช่องเก็บของด้านซ้าย ใหญ่พอวาง Smartphone, กระเป๋าเงิน, กุญแจ เข้าไปได้ และยังมี Port USB มาให้
ตรงกลาง ยังมากับตะขอแขวนของไว้ใช้งานได้สะดวก
มาตรวัด LCD แบบสี ขนาด 8″ บอกสถานะแบต 2 ก้อน ความเร็ว ตำแหน่งเกียร์
และลูกค้ายังสามารถเชื่อมต่อ App Sleek EV ได้ ใช้ปลดล็อกรถ, ดูสถานะรถ, ระบบความปลอดภัย, Tracking ติดตามรถ และ แบตเตอรี่, ค้นหาตู้ S-Charge เป็นต้น เรียกได้ว่า แบตหาย รถหาย ไม่ต้องกังวล ตามเจอได้แน่นอน
สวิทช์ซ้าย มีปุ่มไฟเลี้ยว, แตร และ R ซึ่งวิธีใช้ ต้องกด R ค้างไว้ แล้วเปิดคันเร่ง รถจึงจะเดินถอยหลังให้
สวิทช์ไฟขวา มีปุ่มไฟ เปิด/ปิด Auto, ต่ำ, สูง ปุ่ม P และปุ่ม Mode ซึ่งตรงนี่เป็นจุดที่ดี เพราะเวลาเปิดรถมาทุกครั้ง รถจะอยู่ที่ตำแหน่ง P
ให้กดปุ่ม P 1 ครั้ง ก็จะขึ้นเป็นตัวเลข Mode ต่างๆ ก็สามารถบิดคันเร่งพร้อมให้รถไปได้ และถ้าเราต้องการจอด ก็กด P อีกครั้ง
เปิดเบาะ ขึ้นมาพบ Battery ที่วางได้ 2 ลูก ขนาด 2.1kwh/ ลูก ดังนั้นในรุ่น Pro คันนี้ 2 ก้อน เท่ากับ 4.2 kwh
นอกจากนั้นแม้จะวางแบตถึง 2 ลูก แล้ว ยังเหลือช่อง Ubox ซึ่งใส่ของได้อีกพอประมาณ แบบไปจ่ายตลาดได้สบาย
กลับมาพูดกันที่แบตเตอรี่ ในคันนี้ เป็นรุ่น Pro จะได้แบต 2 ลูก ซึ่งถ้าใครไม่ได้เน้นเดินทางไกล รุ่น STD ก็เพียงพอ กับแบต 1 ลูก
โดยแบต 2 ก้อน สามารถยก ออกมาชาร์จข้างนอกได้ แบตหนักลูกละ 13 กก.ซึ่งตัวแบตจะรองรับ Fast Charge ผ่านตู้ S-Charge หรือ Adaptor แบบชาร์จเร็วที่จะต้องซื้อแยก ตรงนี้ใช้เวลาชาร์จเต็มเพียง 1 ชม. (ต่อ 1 ลูก)
และ Normal Charge ผ่าน Adaptor ที่แถมมากับรถ 3.5 ชม. (ต่อ 1 ลูก) ตรงนี้ สามารถเลือกได้ว่า จะชาร์จผ่านตัวรถ ตรง Port ข้างโลโก้ Play ทางด้านขวา หรือ จะยกออกมาชาร์จ ก็ได้เช่นเดียวกัน
ท่านั่ง
เบาะสูง 780 มม. แต่เบาะกว้างพอประมาณ อย่างไรก็ดีผมสูง 175cm ยังเหยียบลงได้เต็มเท้า
เบาะกว้างนั่งได้สบาย ตำแหน่งแฮนด์ สูงพอๆ กับรถ AT ทั่วไป ขี่ใช้งานในเมืองยังถือว่าให้ความคล่องแคล่วดี
ส่วนตำแหน่งพักเท้า ด้วยความที่เป็นแบบ พื้นที่ Floorboard Fix เพราะเป็น EV ไซส์เล็ก ถ้าขี่ใช้งานสั้นๆ แบบในเมืองยัง ok แต่ถ้าเดินทางไกล อาจมีเมื่อยขาบ้าง
นน.รถ 116.8 kg ไม่รวมแบต (แบตก้อนละ 13 กก.) ถ้ารุ่น STD ก็ถือว่าหนักพอๆ กับรถ AT 150cc ไม่หนัก แต่ก็ไม่ถึงกับเบามาก โดยรวมยังขี่ลัดเลาะโยกรถได้ไม่ยากเย็น
คนซ้อน พักเท้าเป็นเป็น แบบ Soft Touch ใช้งานสะดวก เพียงแตะเปิด และปิดเบาๆ
ตำแหน่งคนซ้อนก็นั่งได้สบาย เพราะเบาะใหญ่และหนา มือจับกันตกออกแบบร่องให้จับได้กระชับตามนิ้วมือ
Sleek Play 1.0 คันนี้ จะมากับระบบ S Drive 1.0 ซึ่งจะมีการประมวลผลผสานการทำงานของ Hardware หลายๆส่วน ร่วมกันได้แก่ มอเตอร์, หน้าจอสี, Controller, VCU, Battery เพื่อช่วยกันประมวลผลการทำงานของรถบบขับเคลื่อนของตัวรถออกมาให้ดีที่สุด
ขุมกำลัง Hub Motor 3000W
ให้แรงม้าสูงสุด 9.45hp ในรุ่น STD และ 12.26hp ในรุ่น Pro แรงบิด 173.85 N.m STD และ 206.52 N.m รุ่น PRO
ในด้านของสมรรถนะการใช้งานนั้น ต้องบอกว่า Mode1 นั้น จะตอบสนองช้า ออกแนวหน่วงๆ เน้นขี่แบบประหยัดแบต เพราะ TopSpeed จะอยู่ที่ 40kmph ตามมาตรวัด
ส่วน Mode2 สำหรับผม ถือว่ากำลังพอเหมาะ ขีใช้งานใน Mode นี้ได้ทุกคน การตอบสนองไม่แรงเร็วเกินไป TopSpeed จะอยู่ที่ 65kmph ตามมาตรวัด เหมาะกับขี่ในหมู่บ้าน หรือในซอย
และ Mode3 อันนี้แรงที่สุด ใครไม่เคยขี่ EV มาก่อน ในจังหวะที่แบตเต็มๆ บิดออกตัวมีดึงกระชาก ตีนต้นจัดจ้าน ถึงประมาณ 60kmph ขึ้นไปก็ยังมีกำลังไล่มาเรื่อยๆ และ TopSpeed สูงสุดที่ 95kmph บนมาตรวัด ส่วน GPS จริงได้เท่าไร รับชมได้ในคลิป TopSpeed Test
สำหรับการใช้งานรถ EV นั้น เราต้องบอกก่อนว่า หากประจุแบตลดลงเรื่อยๆ รถจะจ่ายกำลังได้น้อยลงๆ ทำให้ ในเรื่องของความเร็วสูงสุดนั้นก็จะขึ้นกับประจุแบตคงเหลือด้วย
ซึ่ง Sleek เองก็มี Safe Mode ถ้ากรณี แบตลดต่ำกว่า 20% (แบต 2 ลูก รวมกัน) ความเร็วสูงสุดของตัวรถ จะทำได้ไม่เกิน 60kmph
สำหรับอัตราสิ้นเปลือง Sleek เคลมว่า ระยะทางวิ่งได้ 75 กม. ในรุ่น STD แบต 1 ลูก และ 150 กม. ในรุ่น Pro แบต 2 ลูก
จากการใช้งานจริง จะขึ้นกับพฤติกรรมการขับขี่ เพราะต้องบอกว่า ถ้าขี่ใช้งานปกติ ทั่วไปที่มีเร่งๆ เบรกๆ แบต 1 ลูก จะได้ช่วง 50-60 กม. ถ้าแบต 2 ลูก จะได้ช่วง 100-120 กม.
ระบบกันสะเทือน
หน้าโช้กหัวตั้งทั่วไป ด้านหลังโช้กสปริงคู่ปรับพรีโหลดได้
ภาพรวมการใช้งานถือว่า ไม่แข็งเหมือน EV Bike ในหลายรุ่น เวลาขี่โดยมีผู้ซ้อน ผ่านลูกระนาดยังรู้สึกนั่งได้สบายไม่อึดอัด แต่ด้านหน้ายังมีอาการดีดสะท้านขึ้นมืออยู่บ้าง เมื่อขี่ผ่านผิวไม่เรียบ
แต่ก็ต้องบอกว่าช่วงล่างมันอาจไม่ได้เฟิร์มมากนัก ในจังหวะขี่เร็วๆ อาจมีความรู้สึกเหมือนช่วงล่างไม่ได้จิกเกาะมากนัก แต่ก็ต้องถือว่า ตรงตามคาแรกเตอร์การใช้งานที่เน้นขี่ง่าย สบายๆ ไม่เน้นขี่ความเร็วสูงอะไรมากมาย
ระบบเบรก ดิสก์ หน้า/หลัง มาพร้อมระบบ CBS ด้านหน้าคาลิปเปอร์ 2 pots
การใช้งานนั้นต้องบอกว่า ด้วยความที่ตัวรถ เวลาเราผ่อน จะไม่ค่อยรู้สึกถึง Brake Regen มากนัก ทำให้เวลาเราขี่มาเร็วๆ แล้วผ่อนคันเร่งไหลเข้าโค้ง บางครั้งผมต้องค่อยๆ แตะเบรกในสไตล์ของการเทรลเบรกเข้าไปช่วยด้วยไม่งั้น อาจจะมีบานโค้งออก
แต่ถ้าเราขี่มาตรงๆ แล้วต้องการเบรกชะลอความเร็วอย่างในจังหวะติดไฟแดง เจอลูกระนาด พอเรากดเบรกแล้ว ถือว่าตัวรถยังมีพละกำลังเพียงพอในการเบรก เพราะตัวรถจะมีการเซ็ทให้มี Brake Regen มาช่วยชะลอความเร็วเพิ่มด้วย
ชุดล้อลัลลอยขอบ 12″ สวมยาง 110/70 เท่ากัน ทั้งหน้า-หลัง
สรุป รีวิว Sleek Play 1.0 Pro ถือเป็นรถ EV ที่น่าสนใจ หากคุณกำลังมองหารถใช้งานสักคัน ที่ขี่ในเมือง ที่ไม่ได้ทำความเร็วสูง ขี่ในซอย ในหมู่บ้าน และไม่อยากชาร์จแบตบ่อยๆ สมรรถนะถือว่าทำได้ดีเมื่อเทียบกับ EV ในงบไล่ๆ กัน
SLEEK Play 1.0 ราคา เริ่มต้นที่ 59,900 บาท (STD แบต 1 ลูก) และ 79,900 บาท (Pro แบต 2 ลูก) โดยจะมีให้เลือก 6 สี ดำ, ขาว, เทา, ฟ้า, ชมพู, ส้ม
นอกจากนี้ ลูกค้าไม่ต้องกังวล เพราะ Sleek เค้ารับประกันแบต นานถึง 5 ปี หรือ 1.5 แสน กม. เลยทีเดียว สำหรับตัว Pro คันนี้ ส่วนตัว STD รับประกัน 5 ปี หรือ 80,000 กม. ขณะที่การรับประกัน ตัวรถ รวมถึงชิ้นส่วนอิเล็กโทรนิก, มอเตอร์, กล่องควบคุม จะอยู่ที่ 5 ปี 50000 กม.
ผูัสนใจไปติดต่อได้ที่ตัวแทนจำหน่าย SLEEK ทั่วประเทศ หรือ ติดต่อได้ทางเพจ Sleek EV
อ่านข่าว EV เพิ่มเติมได้ที่นี่
อ่านรีวิว เพิ่มเติมได้ที่นี่