เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทาง Triumph Motorcycles Thailand ได้ทำการเปิดตัว 2 คู่ตระกูล Bonneville รุ่นล่าสุด นั่นก็คือ Triumph Speedmaster และ Bobber Black
ทั้งคู่ ใช้พื้นฐาน และออปชั่นที่เหมือนกัน ต่างกันที่สไตล์ของตัวรถ ตัว Speedmaster จะถือเป็นรถ Custom มาแนว British Cruiser ขณะที่ Bobber Black จะเป็นแนวบ๊อบเบอร์ แบบ Hot Rod และในวันนี้เองทางทีมงาน MotoRival เราได้มีโอกาสมารีวิวเจ้ารถทั้ง 2 คันนี้กันครับ สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจมารับชมกันได้เลย
เมื่อปีที่แล้ว MotoRival เราได้เคยทำรีวิว Triumph Bobber กันไปแล้ว (คลิ๊กอ่านรีวิวได้ที่นี่) ในวันนี้เป็นโอกาสอันดีที่ จะมาดูเปรียบเทียบกันว่ามันต่างจาก Bobber Black ใหม่ นี้เพียงใด
เรามาเริ่มกันที่ Triumph Bonneville Bobber Black กันก่อนเลย ซึ่งจะมีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีดำเงา Jet Black ราคา 6.32 แสนบาท และ สีดำด้าน Matt Jet Black ราคา 6.385 แสนบาท ซึ่งผู้เขียนได้ทดสอบในตัวถังสีดำเงา
สำหรับ Triumph Bobber Black นั้น มีจุดที่แตกต่างจาก Bobber ปกติ ได้แก่
สีของท่อ และแคร้งเครื่องยนต์ก็ถูกพ่นดำ สมชื่อ Black
เพิ่มฟังก์ขั่น Cruise Control เข้ามา ซึ่งสังเกตได้จากปุ่มบนสวิทช์ไฟซ้าย นอกนั้นปุ่มสวิทช์ต่างๆ ยังคงเดิม ทั้ง 2 ฝั่ง
ขณะที่แฮนด์บาร์พ่นสีดำ
นอกจากนี้ตัว ก้านคลัทช์ ปรับ 4 ระดับ และ ก้านเบรก ปรับ 5 ระดับ ก็ ถูกพ่นสีดำเช่นเดียวกัน
ขนาดวงล้อด้านหน้า 19″ เหลือ 16″ และไซส์ยางด้านหน้า 100/90/19 เป็น 130/90/16
จานเบรกหน้าเดี่ยวปั๊มเบรก Nissin อัพเกรดมาเป็น จานดิสก์หน้าคู่จาก Brembo
กระบอกโช้กหน้าจากเดิม 41 มม. จาก KYB อัพเกรด มาใช้ขนาดแกนใหญ่ขึ้นเป็น 47 มม. จาก Showa
นอกนั้นรายละเอียดส่วนใหญ่ ยังคงเดิม ได้แก่ ไฟเลี้ยว ไฟท้าย
ตัวมาตรวัดยังเป็นทรงกลม ดิจิตอล + อนาล็อก เช่นเคย แต่พื้นสีทองด้านในปรับเป็นสีเทา (ในภาพเป็น Bobber รุ่นปกติ) ลูกเล่นเหมือนเดิมทั้งหมด เพิ่มเพียงระบบ Cruise Control เข้ามา
มิติ Triumph Bonneville Bobber Black
จากออปชั่น ที่เพิ่มเข้ามานี้ทำให้ นน. เพิ่มขึ้นมาเกือบ 10 กก. อยู่ที่ 237.5 กก. (Dry Weight)
ขณะที่ถังน้ำมันเพรียวบางจุเท่าเดิม 9 ลิตร
ส่วนสูงเบาะเท่าเดิม 690 มม. ซึ่งเป็นเบาะนั่งเดี่ยวแบบ Single Seat ปรับเลื่อนได้โดยใช้ประแจตัวดาวขัน
สำหรับท่านั่งการขี่ควบคุมรถ หากเทียบกับ Bobber เดิมแล้ว ถือว่าไม่ต่างจากเดิมนัก
สไตล์แฮนด์บาร์ ที่กางออกเกือบตรง อาจทำให้ต้องเอื้อมๆ มือเล็กน้อย หลังอาจจะต้องค่อม งอลงมาอีกเล็กน้อยเช่นกัน
การที่ใช้ถังน้ำมันขนาดเล็ก ทำให้การขี่ควบคุมรถนั้นไม่ลำบาก คล่องแคล่วพอตัว รูปทรงถังที่เพรียวนี้ ก็ดูหนีบได้กระชับช่วงเข่าได้ดี แต่รถสไตล์นี้ นิยมนั่งแบะเข่าออก เพื่อความเท่
เครื่องยนต์ 1200 HT (High Torque) ความจุ 1200cc เหมือนเดิมกับ Bobber รุ่นปกติ มีกำลัง 77 PS@6,100rpm และ แรงบิด 106 Nm@4,000rpm ส่งกำลังด้วยเกียร์ 6 Speed ในตัว Bobber จะมาพร้อมระบบ Torque-Assist Clutch ที่ช่วยลดน้ำหนักของการบีบก้านคลัทช์ลง ทำให้การขี่ใช้งานในเมืองสบายนิ้ว ไม่เมื่อย นอกจากนี้ชุดคันเร่งเป็นแบบ Ride by Wire มาพร้อมโหมด Road และ Rain
ฟีลลิ่งของเครื่องยนต์ก็ยังเหมือนกับ Bobber เดิม ตั้งแต่ซุ่มเสียงที่ผ่านท่อ Pea Shooter ทุ้มๆ แน่นๆ แต่ไม่หนวกหู
ตัวคันเร่งไฟฟ้าตอบสนองหน่วงมือเล็กน้อย แต่ถึงยังไงก็ดี ยังต้องระวังกับการเปิดคันเร่งช่วงแรกๆ เพราะทอร์คถูกรีดออกมาหนัก ตั้งแต่รอบต่ำ ขี่ในเมืองยิ่งต้องระวัง แต่ถึงยังไงก็ตาม ถ้าเผลอเปิดหนักๆ ก็ยังมีระบบ TCS เข้ามาช่วยตัดการทำงานของล้อหลังทันที
และแน่นอนว่าเครื่อง 1200 HT เช่นนี้ กำลังแรงบิดเหลือๆ การเร่งแซง แต่ละจังหวะที่เกียร์ 3 ยังสามารถเปิดคันเร่งออกพร้อมแซงได้เลย โดยไม่ต้องลดเกียร์
การขี่ทำความเร็วสำหรับเดินทางไม่ต้องพูดถึง เพราะกำลังเครื่องไปได้ไกล แต่ ร่างกายที่ต้องปะทะกับลม อาจจะต้องยอมจำนนเสียก่อน ถ้าใจไหว สวมหมวกเต็มใบให้พร้อม วิ่งได้ทะลุ 180 กม./ชม. แน่นอน
ด้านอัตราสิ้นเปลืองจากการขี่ใช้งานในบริเวณตัวเมือง และโดยรอบ มีค่าเฉลี่ยที่ 19-20 กม./ลิตร
ระบบกันสะเทือน โช้กอัพหน้าปรับมาใช้ Showa ขนาดแกนใหญ่ขึ้นเป็น 47 มม.
ชุดกันสะเทือนหลังแบบ Monoshock จาก KYB เช่นเคย วางนอนขวางอยู่ใต้เบาะ
โดยรวมการขี่ควบคุมนั้น ซับแรงได้ดีขึ้น และ แน่น มอบความมั่นคงได้ดีกว่ารุ่นเดิม ขณะที่ช่วงล่างด้านหลังนั้น ยังคงแน่นเฟิร์ม ออกแนวแข็งหน่อย ซึ่งอาจจะกระเด้งกระดอนบ้างในบางจังหวะที่ขี่ผ่านพื้นผิวขรุขระ
อีกปัจจัยหนึ่ง คือ การลดขนาดล้อหน้าลงเหลือ 16″ และหน้ายางกว้างขึ้นเป็น 130 มม. ทำให้รู้สึกได้เลยว่า เวลาเลี้ยวมันจะดูหนืดขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด หน้าไม่ไวเท่าเดิม ดูเลี้ยว และเทโค้งลงยากขึ้นกว่าเดิมอีกหน่อย จากมุม Rake และ ระยะ Trail ที่เปลี่ยนไปอีกด้วย แต่การขี่ในทางตรงก็จะมั่นคงขึ้นอย่างรู้สึกได้เช่นเดียวกัน
ระบบเบรก ABS ด้านหน้าใช้จานดิสก์คู่จาก Brembo ขนาดจาน 310 มม.
เบรกหลังจานเดี่ยว 255 มม. คาลิปเปอร์ Nissin ลูกสูบเดี่ยวขนาดใหญ่ เช่นเดิม
จากที่เคยบ่นๆ กันใน Bobber ตัวปกติว่า เบรกไม่สมกับการเป็นรถเครื่องยนต์ 1200 เลย นั้น คราวนี้อัพเกรดแล้ว
สมรรถนะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เบรกได้มั่นใจขึ้นกว่าเดิม
แต่ถ้าอยากได้แบบสะใจกว่านี้ คงต้องหาปั๊ม Monobloc แบบ Thruxton R ใส่แล้วล่ะ
สรุป Bobber Black ถือได้ว่าอัพเกรดแก้ไขจุดที่ถือได้ว่าเป็นข้อด้อยของ Bobber รุ่นพื้นฐาน เพิ่มฟังก์ชั่น Cruise Control พร้อมปรับสไตล์ให้ดุดันขึ้นจากโทนสีดำ ให้สมชื่อ กับค่าตัวที่เพิ่มขึ้นมาอีกเกือบห้าหมื่นบาท ลูกค้าคงต้องตัดสินใจล่ะครับว่า อยากเอาหล่อ และสมรรถนะที่เพิ่มด้วยหรือไม่
ขอมาต่อกันที่ Triumph Bonneville Speedmaster กันครับ ซึ่งจะมีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีดำเงา Jet Black, สีแดง Cranberry Red, สีขาว/ดำ Fusion White and Phantom Black With Hand Painted Coachline
Triumph Speedmaster ถือเป็นรถ Bonneville ที่ Custom มาเป็นแนว British Cruiser โดยยังอิงพื้นฐานหลายส่วนมาจากตัว Bobber
ไฟหน้ากลมแบบ LED เช่นเดียวกับ Bobber Black แต่โคมจะเป็นกรอบโครเมียม
ไฟเลี้ยวทรงกลม และดีไซน์ไฟท้าย เหมือนกันกับ Bobber
ตัวบังโคลนมาพร้อมรางโครเมียม ซึ่งเชื่อมต่อเป็นชิ้นเดียวกับมือจับกันตก นอกจากนี้ เบาะหลังสามารถถอดออกได้
เพิ่มฟังก์ชั่น Cruise Control ให้มาเช่นเดียวกันทางสวิทช์ฝั่งซ้าย
นอกจากนี้ แฮนด์เป็นแบบ Beachbar ที่งอเข้ามาหาลำตัว เน้นขี่แบบสบาย
ตัวมาตรวัดจะเหมือนกันกับ Bobber Black แต่ ดีไซน์พื้นหลังต่างกันเล็กน้อย
ท่อไอเสียแบบ Pea Shooter เช่นเดียวกัน
มิติ Triumph Bonneville Speedmaster
จากออปชั่น ที่เพิ่มเข้ามานี้ทำให้ นน. เพิ่มขึ้นมาเกือบ 10 กก. อยู่ที่ 245.5 กก. (Dry Weight)
สำหรับท่านั่งการขี่ควบคุมรถ Speedmaster เป็นแฮนด์แบบบีชบาร์ งอเข้าหาลำตัวทำให้ แขนผู้ขี่ไม่ต้องเอื้อม ข้อศอกงอตั้งฉากขนานกับลำตัวได้เลย ท่าขี่ไม่ปวดเมื่อยแขนแต่อย่างใด
ตัวพักเท้าเยื้องไปด้านหน้าเล็กน้อย และตำแหน่งวางก็จะเฉียงหน่อย โดยรวมก็นั่งได้สบายขึ้นอีกนิด ตำแหน่งวางเท้าของ Speedmaster ทำให้ไม่ต้องเหยียดมากเท่ากับพวก American Cruiser ทั้งหลาย หรือ แม้แต่ อิตาเลียน Muscle ตัวแรงอย่าง XDiavel ซึ่งถ้าตำแหน่งวางเท้าเหยียดไกลห่างตัวเกินไปอาจทำให้ควบคุมรถลำบาก
แต่ Speedmaster ไม่เป็นเช่นนั้น มันยังควบคุมได้สบายๆ
เว้นแต่เวลารถติด ก็อาจจะต้องทำใจนิดกับสไตล์แฮนด์บีชบาร์เช่นนี้ ที่จะลดความคล่องตัวในเมืองลงไปบ้าง
ขณะที่ตำแหน่งเบาะผู้ซ้อน ขนาดเล็กและนูนขึ้นดันก้น อาจจะเรียกได้ว่านั่งได้ไม่สบายสักเท่าใด หากต้องเดินทางไกลๆ
เครื่องยนต์ 1200 HT (High Torque) ความจุ 1200cc สเป็กเหมือนกันกับ Bobber และ Bobber Black ทั้งหมด ซึ่งเราจะไม่ขอพูดซ้ำในจุดนี้
เนื่องจาก สไตล์ของเครื่องยนต์ ที่ผ่านคันเร่งไฟฟ้าหน่วงมือนิดๆ มอบแรงบิดที่หนักหน่วงตั้งแต่รอบต่ำ เช่นเดียวกัน โหมดขับขี่ ปรับได้ Rain, Road เช่นกัน
ระบบกันสะเทือน โช้กอัพหน้าเป็นของ KYB ขนาดแกนใหญ่ขึ้นเป็น 41 มม. ระยะเคลื่อนตัว 90 มม. ซึ่งถูกยกมาจาก Bobber ตัวปกติ
ชุดกันสะเทือนหลังแบบ Monoshock จาก KYB วางนอนอยู่ใต้เบาะ เช่นกัน แต่ปรับเซ็ท แตกต่างกัน
จากการขี่ใช้งานนั้นพบว่า Speedmaster แม้จะเป็นโช้กเดี่ยววางนอนทางด้านท้ายเหมือน Bobber แต่ ฟีลลิ่งแตกต่างอย่างชัดเจน มันนั่งได่นิ่มสบาย ผ่อนคลายกว่า
ระบบเบรก ABS สเป็กเดียวกับ Bobber Black ทั้งหน้าและหลัง เราจึงขอไม่บรรยายซ้ำ ในส่วนนี้
สรุป Bonneville Speedmaster ถือได้ว่าเป็น British Cruiser ที่ Reborn กลับมาในยุคโมเดิร์น ที่ดูหรู และสวย ขี่ได้หล่อๆ เดินทางไกล ไม่เมื่อยนัก แต่คนซ้อนก็อาจจะนั่งไม่สบายสักเท่าใดนัก เนื่องจากตัวเบาะค่อนข้างเล็ก
สรุปรวม รีวิว Triumph Bobber Black และ Speedmaster 2 คู่หู Bonny ในครั้งนี้ ในด้านสมรรถนะขุมพลัง การันตีมาตั้งแต่ T120, Thruxton R และ Bobber รุ่นธรรมดา กับความทรงพลัง นอกจากนี้ได้อัพเกรดในเรื่องของระบบช่วงล่าง และเบรก เข้ามาอีก และแน่นอนมันก็มีค่าตัวที่แพงกว่าเดิมอีกหน่อย โดยทั้ง 2 โมเดลมีราคาเท่ากันที่ 6.32 แสนบาท เพื่อนๆ ที่สนใจคงต้องเลือกสไตล์ของตัวเองว่าอยากเท่ และขี่ได้อย่างดุดัน บนรถ Hot Rod แบบนักเลง อังกฤษ หรือ จะสบายแบบ British Cruiser ดี แต่ที่แน่ๆ ไม่ว่าคุณจะขี่รถทั้ง 2 คันนี้ไปไหน หล่อ มีแต่คนมองแน่นอนครับ
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver + Photo
สุภิญญา ชำนาญกุล Photo + VDO
อำพล มูลทองสุข Photo
ขอขอบคุณ Triumph Motorcycles Thailand สำหรับรถทดสอบในครั้งนี้
อ่านข่าว Triumph เพิ่มเติมได้ที่นี่
อ่านรีวิวรถอื่น เพิ่มเติมเติมได้ที่นี่
เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ MotoRival ของเราครับ
Triumph Bonnville Bobber Black
Triumph Bonnville Speedmaster