เมื่อวันวาเลนไทน์ 14 ก.พ. ที่ผ่านมา ทางทีมงาน MotoRival เรามีนัดเดทควบสาวๆ ตัวแรง จากค่ายยักษ์เขียว Kawasaki โดยทาง Kawasaki Motors Enterprise ได้เชิญสื่อมวลชนสายรถจักรยานยนต์ร่วมทดสอบรถในกิจกรรม Supercharger Test Riding ณ สนามพีระเซอร์กิต พัทยา ซึ่งรถทั้งหมดจะประกอบไปด้วย Superbike ตัวเก่ง 2 รุ่น ZX-10R และ ZX-10R SE กับตระกูลซุปเปอร์ชาร์จอย่าง H2 และ H2 SX SE
และในบทความนี้เราก็จะขอรีวิว Kawasaki Ninja H2 & H2 SX SE กันก่อน ซึ่ีงก่อนที่จะไปพูดถึงการทดสอบในสนาม เราจะขอมาอธิบายถึงจุดเด่นที่น่าสนใจของทั้งคู่กันก่อน
โดยเริ่มจากฝั่งแฝดผู้พี่อย่าง H2 ที่เปิดตัวด้วยรูปโฉมของไฮเปอร์ไบค์ แฮนด์หมอบ, เบาะสูงตอนเดี่ยวที่ออกแบบมาเพื่อคนขับเพียงคนเดียว เฉกเช่น Sport Replica
ในขณะที่ทางฝั่งของ H2 SX SE นั้นทาง Kawasaki ได้ปรับลักษณะท่านั่งใหม่ให้เป็นแบบหลังเกือบตรงเพื่อความสะดวกสบายสมกับลักษณะการใช้งานแนวทัวร์ริ่ง ซึ่งแม้ว่าจะไม่ตรงเหมือนกับสปอร์ตทัวร์ริ่งจ๋าอย่าง Z1000SX (Ninja 1000) แต่ก็เพียงพอที่จะให้ผู้ใช้ขับขี่มันได้นานมากพอสมกับความเป็นสปอร์ตทัวร์ริ่งไบค์ แน่นอนว่าในส่วนของเบาะนั่งคนซ้อนของ H2 SX SE ก็ถูกติดตั้งเพิ่มเข้ามาเรียบร้อยพร้อมกันนั้นยังมีบาร์จับซ้ายขวาไว้ให้ผู้ซ้อนได้จับทรงตัวไปกับผู้ขับขี่ได้อย่างมั่นใจ รวมถึงชุดไฟท้ายเองก็ยังปรับดีไซน์ใหม่ให้ผู้ร่วมทางสามารถสังเกตุได้ง่ายยิ่งขึ้น
ด้านรูปโฉมภายนอกของทั้งสองคันนั้นก็ยังคงใช้จุดเด่นหลักๆประจำรุ่นร่วมกันอยู่เพื่อบ่งบอกความเป็น Ninja H2 นั่นก็คือชุดแฟริ่งหน้าที่มีโคมไฟโปรเจ็คเตอร์ขั้นกลางระหว่างช่องแรมแอร์ขนาดใหญ่ที่ถูกต่อตรงไปยังตัวซุปเปอร์ชาร์จ อาจจะแตกต่างกันเล็กน้อยตรงที่ฝั่ง H2 SX SE นั้นมีการขัดเกลาสัดส่วนช่วงบนของแฟริ่งไปจนถึงวินชิลด์ให้สูงขึ้นความตัว H2 เพื่อลดกระแสลมที่จะปะทะตัวผู้ใช้ขณะขี่ ท่อไอเสียขนาดเล็กลง ซึ่งช่วยลด นน. ไปได้ร่วม 2 กก.
นอกจากนี้ในส่วนของแฟริ่งด้านข้างนั้นทาง H2 SX SE ก็ยังได้รับการติดตั้งชุดแฟริ่งแบบปิดครอบทั้งคันตั้งแต่บนลงล่าง ซึ่งทาง Kawasaki ได้ให้ข้อมูลเอาไว้ว่าที่ในโฉมสปอร์ตจ๋าคันนี้สามารถใช้แฟริ่งปิดลากยาวลงมาข้างล่างแบบนี้ได้นั้นก็เป็นเพราะว่าความร้อนที่เกิดจากเครื่องยนต์ต่ำกว่าของแฝดพี่ H2 และถ้าสังเกตุดีๆจะเห็นได้ว่าในตัว SX SE นั้นมีชุดโคมไฟขนาดใหญ่ติดตั้งมาให้ทางด้านข้างทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวา (LED Cornering Light) ซึ่งถูกติดตั้งเป็นครั้งแรกในรถคาวาซากิ กับไฟส่องสว่างขณะเลี้ยว ซึ่งจะค่อยๆสว่างขึ้นมาทีละดวงตามองศาการเอียงของตัวรถ
ระบบโครงสร้างหรือโครงหลักตัวรถนั้นเป็นแบบโครงเหล็กถักเหมือนกันทั้งคู่ โดยในฝั่งของ H2 จะเน้นให้มีน้ำหนักเบา แต่แข็งแรงและมั่นคงพอที่จะกำหราบเครื่องยนต์ที่มีคาแรคเตอร์สุดดุดันให้อยู่หมัดให้ได้ ส่วนในฝั่งของ H2 SX SE จะถูกปรับเปลี่ยนองค์ประกอบนิดหน่อยเพื่อให้มันสามารถรับน้ำหนักได้มากกว่าเดิม เพราะนอกจากมันจะต้องรับน้ำหนักทั้งผู้ขี่และผู้ซ้อนแล้ว มันอาจจะต้องรับน้ำหนักกระเป๋าด้านข้างที่ถูกติดตั้งเพิ่มขึ้นมาในภายหลัง ซึ่งทาง Kawasaki เคลมไว้ว่าจากการปรับปรุงดังกล่าวทำให้ตัวเฟรมของ H2 SX สามารถรับน้ำหนักบรรทุกได้ถึง 195 กิโลกรัมเลยทีเดียว
ขยับมาที่ชุดหน้าจอแสดงผลซึ่งในส่วนนี้ แต่เดิมสำหรับตัว H2 ก็ถือว่าแสดงผลได้ค่อนข้างครบถ้วนอยู่แล้ว เพราะมันสามารถแสดงได้ทั้ง ข้อมูลพื้นฐานทั้งหมดที่ผู้ขับขี่ควรรู้ เช่นรอบเครื่องยนต์แบบเข็มกวาด ความเร็วเลขดิจิตอล ไปจนถึงสถานะการทำงานของระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ต่างๆที่มันมี ส่วนทางฝั่งแฝดน้อง H2 SX SE ก็ถือว่าบอกได้ครบถ้วนไม่แพ้กัน แต่อาจจะดีหน่อยตรงที่อิืนเตอร์เฟซต่างๆถูกปรับให้อ่านค่าได้ง่ายขึ้น ซึ่งส่วนนึงต้องยกความดีความชอบให้กับชุดหน้าจอ TFT หลากสีที่ถูกติดตั้งเพิ่มเข้ามาแทนหน้าจอแบลคไลท์เดิมๆในแฝดผู้พี่
กระเถิบมาอีกนิดก็จะเห็นชุดกันสะบัดจาก Ohlins ค่อนข้างชัดเจนในฝั่ง H2 ส่วนตัว H2 SX SE น่าจะถูกย้ายไปไว้ใต้แผงคอเผื่อความเรียบร้อย ส่วนระบบกันสะเทือนหน้าก็ยังคงใช้ฝาปิดโช้คสีเขียวอันเป็นเอกลักษณ์ประจำค่ายเหมือนกันทั้งคู่ และแน่นอนว่ามันสามารถปรับเซ็ททุกค่าได้เหมือนกันหมด แม้กระทั้งตัวโช้คแก๊สด้านหลังก็มีมาให้คล้ายๆกัน แต่อาจจะมีรายละเอียดในเรื่องของการเซ็ทติ้งจากโรงงานต่างกันตามลักษณะการใช้งานที่ไม่เหมือนกัน โดยในฝั่ง H2 จะเน้นตอบสนองแบบตัวแข่งในสนาม แต่ในฝั่ง H2 SX SE จะเน้นไปที่ความนุ่มนวลเพื่อความผ่อนคลายในการขับขี่ และความเป็นสไตล์รถทัวเร่อ มันยังให้ขาตั้งคู่มาด้วย
ด้านระบบเบรก อย่างที่เราทราบกันดีว่าฝั่ง H2 นั้นออกแบบมาเพื่อขับขี่ในสนามเป็นหลัก ดังนั้นทางค่ายจึงจัดเต็มด้วยชุดคาลิปเปอร์เบรกรุ่น M50 มาให้สำหรับระบบห้ามล้อด้านหน้า แต่ในขณะเดียวกันรนั้นในตัว H2 SX แม้ว่าจะไม่ใช่ของ Brembo แต้อย่างน้อยก็เป็นคาลิปเปอร์แบบโมโนบล็อค 4 พอร์ททำงานร่วมกับจานเบรกคู่ขนาด 320 มิลลิเมตร เช่นเดียวกัน
ในส่วนของชุดล้อจะเห็นได้ว่าทาง Kawasaki ยังคงเลือกติดตั้งชุดล้อดีไซน์เดียวกันให้กับตัว H2 SX SE เหมือนกับแฝดพี่ H2 แต่ในส่วนของขนาดยางหลังนั้นอาจจะถูกบีบให้เล็กลงเล็กน้อยจากเบอร์ 200/55ZR-17 เป็น 190/55ZR-17 ส่วนไซส์ยางด้านหน้ายังคงเท่าเดิมคือ 120/70ZR17
มาถึงเรื่องของเครื่องยนต์กันบ้าง ทั้ง H2 และ H2 SX SE ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบเรียงขนาด 998cc พ่วงระบบซุปเปอร์ชาร์จ โดยแรงม้าเดิมๆที่ติดรถมาตั้งแต่ออกโรงงานของH2 อยู่ที่ราว 200 แรงม้า (ในฝั่ง H2 อาจจะเพิ่มขึ้นไปที่ 207-210 แรงม้าเมื่อมีลมเป่าเข้าแรมแอร์มากๆ) แต่ H2 SX SE ในบ้านเราจะโดนตอนกำลังเหลือ 170 แรงม้า ในขณะที่แรงบิดของฝั่ง H2 จะอยู่ที่ 132.8 นิวตันเมตร ส่วนตัว H2 SX จะสูงกว่าหน่อยคือ 136 นิวตันเมตร เพื่อความลื่นไหลในการรองรับกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น
เข้ามาในส่วนของการขี่ในสนามกันแล้ว เริ่มต้นเราได้ลองควบเจ้า H2 SX SE กันก่อน
ท่านั่ง H2 SX เรียกได้ว่าเป็นสปอร์ตทัวริ่ง อยู่กึ่งกลางระหว่าง ZX-14R และ Ninja 1000 คือ ขี่ไม่ต้องก้มหลังให้เมื่อยกันมากมาย ตำแหน่งวางเท้าก็ไม่ถึงกับต้องงอเข่าแบบรถ Supersport ให้เมื่อยนัก แต่ยังพอได้ท่าแบบรถสปอร์ตอยู่ ตำแหน่งวินชิลด์ค่อนข้างสูง ก้มหลังได้ไม่ต้องแนบชิดตัวถัง ลมก็จะพัดผ่านหมวกกันน็อคไปได้ง่าย
เบาะนั่งแบบ Comfort Seat สูง 835 มม. ถือว่าสูงพอสมควร แต่ตัวเบาะนั้นแบนราบนั่งสบายท้ายไม่เชิด ทำให้ผู้เขียนที่สูง 174 ซม. ยังเหยียบยืนได้เต็มเท้าขณะยืนคร่อมตัวรถ
แม้รถจะมีขนาดใหญ่โต และมีน้ำหนัก Curb ถึง 260 กก. แต่เมื่อขี่ออกตัวไปแล้ว มันควบคุมง่ายดาย สบาย การควบคุมรถในการเลี้ยวโค้งทำได้ง่ายกว่า Ninja 1000 (เลี้ยวโค้งไม่ค่อยไป) H2 SX SE เลี้ยวรถได้ง่ายตามการควบคุม ระบบกันสะเทือนนั้น เป็นแบบโช้กอัพปรับไฟฟ้าที่สามารถควบคุมปรับเซ็ทได้อัตโนมัติ อย่างไรก็ดี ด้วยตัวรถเป็นแบบ Tourer มันจะไม่แน่น เฟิร์มเหมือนอย่างตระกูล ZX-10R หรือ H2 ปกติ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการขี่เข้าโค้งในสนามพีระฯ ครั้งนี้นัก
เครื่องยนต์ 170 แรงม้า Supercharged มีพละกำลังเหลือเฟือ แรงและขี่ได้สนุกแม้ในสนามเช่นนี้ คันเร่งมาแบบลื่นๆ ไม่กระชากกระตุกในจังหวะที่เราเปิดคันเร่งออกแต่ละครั้ง ไม่หนักหน่วงเหมือน Superbike ตัวพันที่คันเร่งมาดิบกว่า แต่ H2 SX คันนี้ก็ดึงแรงแบบตึงมือ ถ้าไม่หนีบถังก็มีเสียวเป็นแน่
ตัวระบบ Quick Shift แบบ 2 Way ช่วยให้การใช้งานสะดวกสบายมากกว่า H2 ที่ Quick Shift เป็นแบบ Up ทางเดียว ดังนั้น เราสามารถใส่เกียร์ได้เลยที่รอบ 2,500rpm ขึ้นไป ช่วยให้การเดินคันเร่งส่งต่อกำลังทำได้อยากราบรื่น ขณะที่ต้องการลดเกียร์เพื่อทำ Engine Brake ก็ทำได้สะดวกคล่องแคล่ว เพียงเหยียบคันเกียร์ลงเลย ไม่ต้องกำคลัทช์ ถือว่าสะดวกและรวดเร็วมั่นใจ เพื่อเตรียมตัวก่อนเข้าโค้ง
อย่างไรก็ดี ผู้เขียนมองว่าแม้กำลังในตัวขายในบ้านเราจะถูกตอนม้าแล้วก็ตาม แต่อย่างไรมันก็ถือเป็น Sport Tourer ที่แรงที่สุดในคลาสแล้วล่ะ นอกจากนี้ตัวน้ำหนักของก้านคลัทช์ไฮโดรลิกนั้น ถือได้ว่าไม่หนักเกินไป บีบแล้วไม่เมื่อยนิ้ว เหมือนรถตัวแรงอย่าง H2
ด้านซุ่มเสียงของเครื่องยนต์ ในจังหวะที่แล่นผ่านหน้า Pit แต่ละครั้งจะดังเหมือนลมพายุพัดผ่าน แต่เนื้อเสียงนั้นไม่ดังหนวกหูเท่าใดนัก และถ้าจะให้ชัดเบิ้ลเครื่องดูจังหวะจอด เสียงทุ้มๆ แต่จังหวะปิดคันเร่งจะได้ยินเสียง BOV คายออกมาวิ้วๆ เหมือนนกหวีด ฟังๆ ไปก็มันส์สนุกดีทีเดียว
สรุปคร่าวๆ H2 SX SE คันนี้ เรียกได้ว่า เป็นรถ Ninja รุ่นหนึ่งที่ขี่แล้วตกหลุมรักง่ายๆ ทั้งความสบายที่มอบให้ สามารถนั่งโดยสารไปไหนไกลๆ ได้ไม่เมื่อยนัก และลมปะทะต่ำ + ความสนุก และ แรงทรงพลัง เหนือชั้นกว่าทัวเร่อคันอื่นๆ + เทคโนโลยีแบบจัดเต็มยิ่งกว่ารถยนต์
ในราคา 1.09 ล้านบาท ได้รถ Sport Tourer ขั้นสุดแห่งยุคนี้ พร้อมหัวใจอัดอากาศก็ดูคุ้มนะ !
ขี่ H2 SX SE เสร็จ ก็กระโดดสลับมาต่อกันที่ Ninja H2 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น Superbike ที่โหดดิบสุดแล้วที่ผู้เขียนได้เคยสัมผัสแล้วก็ว่าได้
OK ลองคร่อมรถดู พบว่า H2 ที่เบาะสูง 825 มม. เตี้ยกว่า ตระกูล ZX-10R และ H2 SX ผู้เขียนยังเหยียบได้เต็มเท้าเช่นกัน แต่ก็ต้องนั่งคร่อมหลัง เมื่อยหน่อย และพักเท้าเยื้องไปข้างหลังใกล้เคียงกับ ZX-10R แต่รู้สึกว่า เจ้า H2 ตำแหน่งพักเท้าจะต่ำกว่า ZX และทำให้งอเข่าน้อยกว่าเล็กน้อย
เอาล่ะ กลับมาเริ่มกำคลัทช์ ออกตัว โอวรู้สึกทันทีครับว่าน้ำหนักคลัทช์ มันชั่งหนักเอาเรื่องกว่า Superbike คันอื่นๆ เลย ท่านั่งก็ต้องกลับมาคร่อมหลังกันอีกครั้ง พร้อมละสตาร์ทลองเบิ้ลคันเร่งดูสักนิด รู้สึกทันทีเลยว่าเนื้อเสียงจากท่อไอเสียของ H2 มันดูดุดันกว่า H2 SX และเวลาแล่นผ่านหน้า Pit เสียงลมดังพายุที่พัดผ่านนั้น ดังฟู่ววววว ประมาณว่าคำรามดุและดิบกว่าเจ้า H2 SX อย่างดังชัดเจน
มาเริ่มขี่กันเลย ผู้เขียนรู้สึกทันทีว่ามันเป็นรถที่ขี่แล้วเครียดมากพอสมควรเลย แม้กำลังระดับ 200 ม้าจะไล่ๆ กับ ZX-10R ที่ขี่มาก่อนหน้าในช่วงเช้า หรือ Superbike ตัวพันอย่าง RSV4 ที่เคยขี่ในสนามพีระฯนี้ด้วยเช่นกัน
การเดินคันเร่งของ H2 จะต้องเดินคันเร่งให้ประณีตละเอียดที่สุด และถ้าคุณไม่เปิดระบบ KTRC เอาไว้แล้วด้วย นี่ ถ้าไปเผลอเปิดเดินคันเร่งในโค้งมากไปนิด อาจแพร่ดออกได้
เมื่อเราเปิดคันเร่ง Ninja H2 แต่ละครั้งจะพบว่ามันสามารถรีดทอร์ค จากกำลังที่รอบบูสต์พุ่งออกมา ได้อย่างรุนแรงที่รอบเครื่องที่ไม่สูงนัก เมื่อขี่เจ้า H2 นี้ ผู้เขียนได้ใช้เกียร์ต่ำสุดที่ 3 ทั้งสนาม เนื่องจากตามที่บอกไปการเดินคันเร่งแต่ละครั้งต้องเนียน และคุมคันเร่งให้ดีไม่มันพุ่งพรวดพราด ช่วงวิ่งผ่านทางตรงยาวหน้า Pit เราต้องหนีบศอก ก้มหัว เข่าหนีบถังให้แน่น เมื่อเปิดคันเร่งผ่านรอบเครื่องที่ 8,000rpm + ขึ้นไป รู้สึกปวดคอนิดๆจากแรงดึงที่หนักหน่วง จึงเตะเกียร์ขึ้นด้วยระบบ Quick Shift เปิดคันเร่งต่อไปอีกได้ไม่นาน ราวกับจรวดตอปิโดพุ่งทิ้งดิ่งลงเนิน ซึ่งผ่านหน้า Pit แล้วเราก็ต้องจัดการเบรกอย่างหนักจากความเร็วกว่า 200 กม./ชม.+ พร้อมตบเกียร์ลง ให้ลงมาอยู่ที่ตำแหน่งเกียร์ 3 มองไลน์เข้า Apex ก่อนเดินคันเร่งออกไปปลายโค้งให้สมูทที่สุดเท่าที่จะทำได้
H2 นั้นแม้จะขนาดตัวยาวและดูใหญ่กว่า Superbike คันอื่นๆ ซึ่งเราขี่รอบแรกๆ แอบเกร็ง แต่ไม่นานนัก เราก็พบว่าการขี่ควบคุมเจ้า H2 เพื่อเข้าโค้งมันไม่ได้ดูอุ้ยอ้าย เลยแม้มันจะหนักถึง 238 กก. ก็ตาม การเข้าโค้งไม่ได้ยากเย็นเหมือนอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก มันดูเข้าโค้งได้นิ่งและเฉียบคม ให้ความมั่นคงและมี Grip ที่ดีจากตัวยางหลังไซส์ 200 มม. แต่อย่างไรก็ดีในจังหวะที่พลิกรถในโค้ง S สนามพีระฯ นี้ อาจจะรู้สึกว่ามันไม่พริ้วเท่า ZX-10R ที่มีน้ำหนักเบา และขนาดตัวเล็กกว่านัก
สรุปแล้ว Kawasaki Ninja H2 คันนี้ ถือเป็น Superbike ที่ดิบมากที่สุดคันหนึ่งที่ได้เคยสัมผัสมา น่าจะสะใจพวกบ้าพละกำลัง สายฮาร์ดคอร์ได้สบายๆ รวมไปถึงค่าตัวที่ดูจะรุนแรงและโหดไม่แพ้พละกำลังของมันเลยที่ 1.58 ล้านบาท แต่ถ้าเพื่อนๆ ยังไม่สะใจพอคงต้องไปจัด H2R กำลังระดับ 300 ม้า แล้วล่ะ (Kawasaki ไมได้นำเข้ามาจำหน่ายในไทย และไม่สามารถจดทะเบียนได้ เพราะเป็นรถสำหรับขี่ในสนามเท่านั้น)
สำหรับ Ninja ZX-10R และ ZX-10R SE เราจะขอมารีวิวต่อในครั้งหน้าครับ
ขอขอบคุณ Kawasaki Motors Enterprise สำหรับกิจกรรม Supercharger Test Riding ณ สนามพีระเซอร์กิต ให้เราได้เดทกับสาวๆ Supercharged ในวันวาเลนไทน์ครั้งนี้ครับ
ภณ เพียรทนงกิจ Test Driver
อ่าน รีวิว อื่นๆเพิ่มเติมได้ที่นี่
อ่านข่าว Kawasaki เพิ่มเติมได้ที่นี่
เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ MotoRival ของเราครับ