เผยโฉม Royal Enfield Photon คลาสสิคไบค์ดัดแปลงพลังไฟฟ้า อัพราคาพุ่ง 8.19 แสนบาท

อาจจะจริงอยู่ว่ารถมอเตอร์ไซค์ของ Royal Enfield นั้น ถือเป็นรถที่มีความโดดเด่นอย่างมากในเรื่องดีไซน์ที่มีความคลาสสิค กับเครื่องยนต์ที่มาพร้อมกับกลิ่นอายแห่งความเก๋าสุดๆ แต่ทว่าด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนเปลี่ยนจึงทำให้หลายคนเริ่มหันหน้าเข้าหารถมอเตอร์ไซค์ขุมกำลังไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหลายครั้งก็ต้องแลกกับหน้าตาสุดคลาสสิคไป เพราะค่ายรถมักไม่ทำ

ดังนั้นทางสำนักอังกฤษแห่งหนึ่งชื่อว่า Electric Classic Cars ซึ่งถนัดในเรื่องการเอายานพาหนะหน้าตาคลาสสิค ถึงขั้นโบราณมาดัดแปลงให้รองรับกับการใช้ขุมกำลังไฟฟ้านั้น จึงเลือกที่จะเอาเจ้า Royal Enfield Bullet ที่มีหน้าตาหลุงยุคตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948 นั้น มาใส่หัวใจใหม่แล้วตั้งชื่อให้กันว่า Royal Enfield Photon ดังที่เพื่อนๆเห็นกันอยู่ตอนนี้

อย่างไรก็ดี แม้เราจะบอกว่าเจ้า Photon คันนี้ มีพื้นฐานตัวรถมากจาก RE Bullet ทว่าทางสำนักกลับเลือกตกแต่งชิ้นส่วนภายนอกของมันให้เหมือนกับว่ามีพื้นฐานมาจาก RE Classic มากกว่า โดยเฉพาะกับช่วงท้ายที่เป็นเบาะนั่งตอนเดียว และบังโคลนหลังทรงโค้งหุ้มล้อ นอกนั้นในส่วนของถังน้ำมัน และระบบกันสะเทือนดูเหมือนจะเป็นของเดิม ที่ถูกทำสีกับปรับเซ็ทใหม่ รวมถึงไฟหน้าที่กรอบโคมด้านนอกอาจจะเป็นของเดิม แต่ก็มีการเปลี่ยนโคมหลอดด้านในใหม่ให้เป็นแบบ LED

ส่วนจุดไฮไลท์จริงๆของ Photon ก็คือ ชุดมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังขนาด 12,000 วัตต์ หรือราวๆ 16.1 HP ที่แม้จะพาตัวรถไต่ความเร็วสูงสุดได้ไม่มากเท่าไหร่นักคือ 112 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ด้วยมอเตอร์กำลังขนาดนี้ แรงบิดที่จะทำให้ตัวรถพุ่งไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วแน่นอน ขณะที่มอเตอร์ของมันซึ่งเป็นแบบลิเทียบ-ไอนออน ความจุ 2.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง จำนวน 4 ก้อนนั้น ก็สามารถรองรับระยะทางในการใช้งานได้ไกลถึง 130 กิโลเมตรเลยทีเดียว และสามารถชาร์จประจุกลับจาก 0% ได้ภายในระยะเวลาเพียง 90 นาทีเท่านั้น

โดยสำหรับราคาของ Royal Enfield Photon – By Electric Classic Cars คันนี้ ต้องเรียนตามตรงว่าค่อนข้างสูงเอาเรื่อง เพราะจากตอนแรกที่มันจะอยู่ที่ราวๆ 200,000 บาทนั้น กลับกลายเป็นว่าค่าตัวของมันจะพุ่งขึ้นไปถึง ราวๆ 819,000 บาทเลยทีเดียว ซึ่งนี่เป็นราคาที่พวกเขาตั้งเอาไว้ขายในประเทศอังกฤษ ไม่ได้รวมถึงการนำเข้า และค่าภาษีสำหรับใช้งานในบ้านเรา ซึ่งหากเพื่อนๆคนไหนสนใจล่ะก็ อาจจะต้องรีบๆหน่อยน่ะครับ เพราะพวกเขาทำมันขึ้นมาเพียง “คันเดียวบนโลก” เท่านั้นนั่นเอง