ย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 2012 Kawasaki ได้ทำการเปิดตัว Ninja 250 2 สูบเรียงเวอร์ชั่นใหม่ เพื่อมาทดแทน Kawasaki Ninja 250 โฉมเก่า (2008-2012) แต่ผ่านมายังไม่ถึงปี Kawasaki ก็ได้เปิดตัว Ninja 300 ในเดือน ก.ค. 2013 มาจำหน่ายทำตลาดแทนที่ 2013 Ninja 250 ซึ่ง ณ ขณะนั้นเล่นเอาหลายคนถึงกับต้องยกเลิกการถอนใบจองเพื่อขยับมาเลือกตัว Ninja 300 ใหม่ แต่ไม่ใช่กับโฉม Naked อย่างตระกูล Z ที่เข้ามาทำตลาดตั้งแต่รุ่นเครื่องยนต์ 250 และ ตามด้วยรหัส 300 โดยที่ยังคงไลน์เครื่องยนต์ไว้ทั้ง 2 รุ่น ให้เลือกจนถึงปัจจุบัน และเมื่อช่วงกลางปีที่แล้ว Kawasaki Motors ประเทศไทยก็ได้ทำการเปิดตัว Kawasaki Ninja 250SL, Z 250SL ABS รถมอเตอร์ไซค์คลาส 250cc ของค่ายที่มีราคาถูกที่สุดตั้งแต่เคยทำตลาดมา เพื่อมาตีตลาด Entry Bike (Bigbike ในกลุ่มเริ่มต้น) แข่งขันในด้านราคากับรถพิกัด 250-300cc จากค่ายอื่น
ซึ่งในวันนี้เราได้มีโอกาสมาทดสอบรถ Kawasaki Ninja 250SL (WSBK Special Edition), Z 250SL ABS ทั้ง 2 คันให้แฟนๆ MotoRival ผู้ซึ่งสนใจอยากมองหา Entry Bike ขี่ง่าย คล่องตัวราคาไม่แพงกันครับ
Kawasaki Ninja 250SL, Z 250SL ABS นั้น หลายคนอาจสงสัยว่า SL ย่อมาจากอะไร ซึ่งบางคนก็คิดว่ามาจาก Single Cylinder แปลว่า เครื่องยนต์ 1 สูบ แต่ในความหมายที่แท้จริงของ Kawasaki คือ Super Light หมายถึง น้ำหนักเบามาก เจ้า 250SL ทั้งคู่นี้ถือเป็นรถแนว Streetfighter (สำหรับใช้งานบนท้องถนนในเมือง) อย่างแท้จริง โดยการออกแบบเฟรมใหม่ ที่เป็นโครงสร้างท่อเหล็ก High-Tensile รูปแบบเหล็กถัก ร่วมกับการได้เครื่องยนต์ 1 สูบ ทำให้บอดี้โดยรวมดู Slim ขึ้น สามารถลดน้ำหนักตัวลงไปได้ถึง 20 กก. เลยทีเดียว (Ninja 250SL หนัก 152 กก., Z 250SL หนัก 151 กก.) เรียกได้ว่าเบาเป็นรถในรูปโฉมสปอร์ตพิกัด 250cc ที่มีขนาดตัวเบาที่สุด ขณะที่ถังน้ำมันก็มีความจุลดลงด้วยจาก 17 ลิตร เหลือเพียง 11 ลิตร สำหรับความสูงเบาะจากเดิม 785 มม. ลดลงเหลือ 780 มม. ขณะที่ตัวล้อที่มีลวดลายเดียวกันกับ Ninja, Z 250, 300 ในตัว 250SL นี้ จะแคบกว่าเล็กน้อย ส่งผลให้มีน้ำหนักล้อเบาลงอีกราว 0.45 กก.
Kawasaki Ninja 250SL ABS (WSBK Special Edition) มากับแฟริ่งแบบสปอร์ต, แฮนด์จับโช๊คที่มีองศาแคบ และเตี้ยมากกว่าเดิม (ใกล้เคียงรถ Supersport มากยิ่งขึ้น) ไฟหน้าปรับมาเป็นแบบโคมเดี่ยว ทำให้ด้านหน้ารถดูบางลงอย่างเห็นได้ชัด โดยในคันที่เราได้มาทดสอบนี้เป็นลายพิเศษ WSBK Special Edition ที่ช่วยถ่ายทอดจิตวิญญาณของนักแข่งรายการ World Superbike Championship ออกมาได้อย่างเต็มเปี่ยม
Kawasaki Z 250SL ABS จะมากับแฟริ่งแบบ Naked Bike แฮนด์บาร์ขนาดแคบ ช่วยให้รถมุดได้ง่ายคล่องตัวดีไม่แพ้รถ จ่ายกับข้าว (แต่จะยังไม่คล่องตัวเท่า Ninja 250SL เพราะกระจกไม่สามารถพับได้) ไฟหน้าที่ดูเหมือนยักษ์หน้าเกรงขามใน พี่ๆ Z250, Z300, Z800 ถูกเปลี่ยนถ่ายใหม่ กลายเป็นโคมไฟหน้า ที่ดูมีลักษณะสอดคล้องกันกับ Ninja 250SL ไม่มีผิดเพี้ยน ซึ่งจะว่าไปแล้วหากใครเป็นแฟน Ducati อย่างรุ่น Streetfighter แล้วละก็ ต้องแอบรู้สึกถึงความคล้ายคลึงขึ้นมาบ้าง ไม่มากก็น้อย จากรูปร่างที่ดูเพรียวบาง และเฟรมเปลือยที่เผยให้เห็นโครงถัก
นอกเหนือจากนี้รายละเอียดของทั้ง Ninja 250SL และ Z 250SL ตั้งแต่บริเวณกลางลำตัวไปจนถึงด้านท้ายก็จะเหมือนกันแทบทั้งสิ้น ใบกระจก รวมไปถึงบอดี้รถตั้งแต่ส่วนกลางยันไฟท้าย
หน้าปัดแบบดิจิตอล ขนาดเล็กที่ดูสวยงาม แสดงผลแบบพอเพียง Trip, Odometer, นาฬิกา และเกจ์น้ำมัน
มาต่อกันที่ท่านั่ง Kawasaki Ninja 250SL ABS นั้นได้ปรับรูปแบบแฮนด์ให้มีองศาที่แคบเข้าและเตี้ยลงรับกับตัวถัง Slim นี้มากยิ่งขึ้น ทำให้ท่านั่งนั้นดูเป็นสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ต้องหมอบลงมากกว่าเดิม ตอบโจทย์ผู้ชอบซิ่ง สายหมอบโดยแท้จริงเนื่องจากไม่ต้องงอบีบข้อศอกมากศอกก็จะเข้ารูปรับกับตัวถังน้ำมันอันบอบบางนี้ได้เป็นอย่างดี แต่เรากลับพบว่าด้วยตำแหน่งวางเท้านั้นที่ดูจะใกล้เคียงเดิมซึ่งตำแหน่งพักเท้าดูจะยังค่อนไปทาง Sport Touring ทำให้ท่านั่งยังดูแปลกๆ แม้จะบังคับให้ต้องหมอบก้มหลังลงกว่าเดิม ใกล้เคียง Supersport มากยิ่งขึ้นก็ตาม จนในวันแรก เล่นเอาผู้เขียนตะคริวเกือบกินไปเหมือนกัน เมื่อต้องวางตำแหน่งเท้าลงให้ถูกที่ถูกทาง จากความที่ยังไม่ชินท่านั่งในวันแรก จุดที่รู้สึกน่ารำคาญบ้างก็คือ แฟริ่งจะติดช่วงเข่า (ผู้เขียน สูง 174 ซม.) โดยเฉพาะเข่าขวาในจังหวะ แตะเบรกเท้ามักโดนเป็นประจำ ร่วมกับเท้าขวาที่เมื่อวางเท้าจิกจะพบว่าส้นเท้าจะติดกับการ์ดกันความร้อนท่อไอเสียอยู่เรื่อย โดยจุดที่น่าประทับใจ คือตำแหน่งแฮนด์แคบ และกระจกมองข้างที่สามารถพับได้ด้วยมือเดียว ทำให้เวลาขี่เจอรถติดสามารถพับกระจกมุดซอกแซกได้ทันที
ท่านั่ง Kawasaki Z 250SL ABS ดูจะหมอบน้อยกว่า Ninja 250SL เนื่องจากรูปแบบแฮนด์บาร์ ซึ่งจะมีตำแหน่งที่สูงขึ้น และทำให้ข้อศอกไม่ต้องงอมากด้วย แต่ด้วยแฮนด์บาร์ที่ดูจะแคบร่วมกับ Hand Grip ที่ดูบางมือ มันทำให้การหักเลี้ยวนั้นดูจะทำได้ไม่เต็มที่นัก ซึ่งโดยรวมการขี่ควบคุมตัวรถดู Ninja จะให้ความมั่นใจได้ดีกว่า ซึ่งผู้เขียนก็ยังรู้สึกว่าแม้จะหมอบน้อยกว่าแต่ก็เมื่อยอยู่ดี แฟริ่งช่วงปีกข้างก็ดูจะติดเข่ามากกว่า Ninja เสียอีก
เครื่องยนต์ 1 สูบ ความจุ 249cc ระบายความร้อนด้วยน้ำ ซึ่งเป็นเครื่องบล๊อกเดียวที่อยู่ใน DTX (Dtracker X), KLX250 มีกำลัง 28 แรงม้า (PS)@9,700rpm แรงบิด 16.7 ปอนด์ฟุต (22.6Nm)@8,200rpm หากเทียบกับ (Ninja 250cc เครื่องยนต์ 2 สูบ ใหกำลัง 31.5 แรงม้า @11,000rpm แรงบิด 15.5 ปอนด์ฟุต @10,000rpm)
จะพบว่าแรงบิดที่มีมากกว่ามาที่รอบต่ำกว่า จึงช่วยให้อัตราเร่งช่วงต้นนั้นทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว ในขณะที่แรงม้าช่วงปลายนั้นดูด้อยกว่าเล็กน้อย แต่สำหรับการขี่ใช้งานในเมืองเป็นหลัก ซึ่งต้องการแรงบิดในรอบต้นที่มากกว่านั้น มันทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสม กระแทกคันเร่งออกตัวตั้งแต่เกียร์ 1 ก่อนไปสับเกียร์ที่ราว 10,000rpm ด้วยพื้นที่ยางหลังไซส์ 130 มม. ยังดูไม่มั่นคงเท่า ยาง 140 มม. ของ รุ่น 2 สูบ แต่ต้องยอมรับว่า อัตราเร่งนั้นทำได้ดีเยี่ยมทีเดียวในภาพรวม ของรถสูบเดี่ยว และมีน้ำหนักเบาเช่นนี้
จุดที่น่าประทับใจที่สุดเห็นจะเป็น ระบายความร้อนด้วยน้ำ ที่ได้ออกแบบใหม่ ในส่วนฝาครอบพัดลมหม้อน้ำ ซึ่งจะเป่าไอร้อนจากเครื่องลงสู่พื้นล่าง ซึ่งทำให้เราแทบจะไม่สัมผัสได้ถึงไอร้อนบริเวณหน้าขาเลยแม้ พัดลมหม้อน้ำจะส่งเสียงวี้ดดังมากก็ตาม ซึ่งวันที่เราทดสอบมีแดดแรงแทบจะลม จับขณะถ่ายภาพ ปัญหาเรื่องความร้อนก็ไม่มีมาให้กวนใจแต่อย่างใด
แม้ว่าจากการทดสอบของผู้เขียนด้วย Ninja 250SL จะทำ Top Speed ได้ราว 160 กม./ชม. ที่รอบเครื่องราว 10,000rpm และการวิ่งในทิศทางที่ลมโต้กลับจะเหลืออยู่ราวๆ 155 กม./ชม. ก็ตาม ซึ่งถ้าเป็น Z 250SL จะทำความเร็วได้ต่ำกว่านี้จากรูปทรงของตัวรถ
ขณะที่อัตราสิ้นเปลือง (Ninja 250SL) พบว่าอยู่ที่ราว 26 กม./ลิตร จากการเติมน้ำมันและเซ็ททริปจริง (โดยผู้เขียนขี่ใช้งานทั้งในเมืองและรอบนอก โดยไม่ได้เน้นความประหยัดนัก) หากขี่ด้วยความเร็วคงที่เวลาเดินทางไกล เปิดคันเร่งออกด้วยความสมูทน่าจะทำตัวเลขแตะระดับ 30 กม./ชม. ได้ไม่ยาก
ระบบกันสะเทือนและการควบคุม แกนโช้คหน้าขนาด 37 มม. แบบ Telescopic ธรรมดาๆ ด้านหลังแบบ Monoshock พร้อมแกนยึด Uni-Trak ซึ่งดูทรงของช่วงล่างแล้ว เซ็ทมาค่อนข้างลงตัวกับน้ำหนักของตัวรถที่เบา ให้อารมณ์สปอร์ตพอประมาณ แต่ก็มีความยืดหยุ่นของช่วงล่างจากแกน Unitrak ด้านหลัง และระยะ Travel ของโช้คอัพหน้า
แฮนด์จับโช้คใน Ninja 250SL ช่วยให้สรีระการขับขี่มั่นคงดียิ่งขึ้นขณะควบคุมที่ความเร็วสูง แม้เราจะรู้สึกว่าโช้คอัพคู่หน้าอาจจะนิ่มไปเล็กน้อยมีระยะยุบในการเคลื่อนตัวค่อนข้างมาก ในจังหวะที่มีการเบรกหนัก และที่ความเร็วสูงขึ้นไป
สำหรับการใช้งานในเมืองตามที่ได้กล่าวไป แฮนด์แคบและเตี้ย ช่วยให้ความคล่องตัวสูง แต่เวลาหักเลี้ยวในจังหวะตัดเลน หรือกลับรถวงแคบจะลำบากหน่อยเนื่องจากหักสุดข้อศอกจะติดกับแฟริ่ง
ขณะที่แฮนด์บาร์ Z 250SL ที่แคบก็ให้ความคล่องตัวสูงไม่แพ้กัน แต่การหักแฮนด์ในองศาที่มาก อาจทำให้การเลี้ยวดูควบคุมได้ไม่มั่นคงเท่าแฮนด์บาร์ที่มีขนาดยาว ว่าง่ายๆ ถ้าชอบเล่นโค้ง Ninja ให้ความสนุก และควบคุมได้มั่นใจมากกว่า
สำหรับหน้ายางขนาด ยางหน้า 100 มม. ยางหลัง 130 มม. (เทียบกับ Ninja, Z 250 2 สูบ จะอยู่ที่ 110/140) ใช้ยาง Dunlop TT900 ซึ่งเป็นซีรีย์ที่โด่งดังในรถขนาดเล็ก แต่สำหรับการใส่กับคลาส 250cc มันก็ทำได้ดีแม่แพ้ยาง IRC RX-01 ที่เป็นตัว OEM ของ Kawasaki 250 และ 300 เพียงแต่หน้ายางที่แคบลง 1 เบอร์อาจส่งด้านความสวยงาม ร่วมกับพื้นที่แก้มยางที่น้อยลงอีกนิดในทางโค้ง
ระบบเบรก หน้าจานดิสก์เดี่ยวขนาด 290 มม. คาลิปเปอร์ 2 สูบ เบรกหลังจานดิสก์เดี่ยวขนาด 220 มม. คาลิปเปอร์ 2 สูบ พร้อมติดตั้งระบบ ABS
ความรู้สึกในการเบรกก็ทำได้ดีเช่นเดียวกันกับ พี่ๆ 2 สูบ 250, 300cc ที่ดูหนักแน่น และยิ่งรถที่น้ำหนักเบาลงช่วยให้การเบรกนั้นดูตอบสนองได้ดีขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ผู้เขียนก็ยังแอบรำคาญใจเล็กน้อยกับระบบ ABS ในตัวเล็กอย่าง 250cc แต่อย่างว่าระบบนี้จะช่วยได้มากในกรณีที่ฝนตกถนนลื่น และอีกอย่างมีไว้ดีกว่าไม่มีให้มา ในราคาเพียงเท่านี้ถือว่าออปชั่นให้มาไม่เบาทีเดียว
สรุป รีวิว Kawasaki Ninja 250SL Z 250SL ABS ถือเป็นรถ Entry Bike ที่น่าสนใจมาก เหมาะสมที่จะเป็นรถใช้งานคนเมืองที่ติดขัดอย่าง กทม. โดยแท้จริง เบา คล่องตัว ทอร์คดีพอประมาณ ควบคุมได้ง่ายไม่แพ้รถเล็ก พร้อมเบรก ABS คุ้มค่าไม่น้อย เป็นรถที่ขี่สนุกมากที่สุดคันหนึ่งกับราคาเพียงแสนต้นๆ กับเอกลักษณ์ของ 250SL ที่แตกต่างจากพี่ๆ 2 สูบ คือ ท่านั่งที่ดูสปอร์ตโดยแท้จริง (โดยเพราะ Ninja) แต่ก็มีจุดที่ได้ติไปบ้างในเรื่องท่านั่งขี่ที่ไม่กระชับเท่าใดนัก หัวเข่าที่ติดแฟริ่ง และส้นเท้าที่ติดกับการ์ดกันความร้อน
เอาเป็นว่าแม้จะไม่แรงมากนัก แต่มันให้อารมณ์การขี่ที่สนุกไม่แพ้ คลาส 300cc ทั้งในค่ายและนอกค่ายเลยล่ะ
Kawasaki Ninja250SL ABS ราคา 1.23 แสนบาท และ ลาย WSBK Special Edition ราคา 1.25 แสนบาท
Kawasaki Z 250SL ราคา 1.2 แสนบาท
ขอขอบคุณ
Kawasaki Motors ประเทศไทย สำหรับรถทดสอบ Kawasaki Ninja250SL ABS
Kawasaki Motoaholic สำหรับรถทดสอบ Kawasaki Z250SL ABS
คุณกิต Marshall Ducati Ratchapruek Co-Rider
ภณ เพียรทนงกิจ Test Rider
อ่านรีวิวรถอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่
อ่านข่าวสาร Kawasaki เพิ่มเติมได้ที่นี่
เพื่อนๆ Bikers สามารถติดตามข่าวสารวงการล้อ ได้ทางแฟนเพจ MotoRival ของเราครับ
250 Super Light
รถเครื่องยนต์สูบเดี่ยวในระดับ 250-300cc ที่ขี่สนุกที่สุด จากท่านั่งที่ดูสปอร์ต เบา แถมคล่องตัวสูง
-
Ninja 250SL
-
Z 250SL